วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกเส้นทางสีแดงสู่ประชาธิปไตย ตอนที่ 18

29 October 2013 at 22:26
18. ข้ามด่านน้ำพาวที่สูงเสียดฟ้า ปั่นจักรยานลงเขาสุดระทึก
16.30 น. ผู้การผดุงและรอ.ปรีชาขณะปั่นจักรยานลงเขา
16.30 น. ผู้การผดุงและรอ.ปรีชาขณะปั่นจักรยานลงเขา


พวกเราถึงด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นประเทศลาวและเวียดนามในเวลาบ่าย 4 โมง อากาศหนาวเย็นและหมอกลงจัด ขณะที่พวกเราไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของลาวหลายคนมาพูดคุยด้วยความสนใจ พวกเขารู้เรื่องแทบจะทุกอย่างของไทยเนื่องจากดูทีวีของไทยผ่านจานดาวเทียม พวกเขารู้เรื่องการเมืองของไทยดีมาก พวกเขาชอบคนเสื้อแดงและคุณทักษิณ พวกเขาบอกว่า”บ้านเจ้ามีคนดีๆบ่อฮุ้กจักไซ่ เอามาหื้อข้อยเน้” (แปลว่า ประเทศของคุณมีคนดีๆไม่รู้จักใช้งาน เอามาให้ประเทศลาวของฉันเถอะ)

หลังจากทำเอกสารผ่านแดน พวกเราจูงจักรยานข้ามด่านเข้าเขตประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามแต่งกายเรียบร้อยกว่าฝั่งลาว พวกเขาไม่ค่อยสนใจคนเสื้อแดงเป็นพิเศษเหมือนคนลาว แต่สนใจจักรยานทัวริ่งของนักปั่นมากกว่า พวกเราแลกเงินดอลลาร์ติดตัวจำนวนหนึ่งและเริ่มเดินทางต่อไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามด่านและถ่ายคลิปวีดีโอการปั่นจักรยานของผู้การผดุงและรอ.ปรีชาจากด้านหลัง อากาศหนาวจนมือและปากสั่น เป้าหมายของวันนั้นต้องรีบลงเขาก่อนพลบค่ำและหาที่พักให้เร็วที่สุด

เมื่อออกพ้นบริเวณด่านการปั่นจักรยานก็เริ่มประสพปัญหาเนื่องจากเป็นทางลงเขาที่สูงชันประกอบกับหมอกลงจัดไม่สามารถมองได้ไกลเกินกว่า 20 เมตร ผมพยายามปั่นนำไปข้างหน้าและตะโกนบอกสมาชิกให้รักษาความเร็ว พยายามแตะเบรกเพื่อผ่อนความเร็วเป็นระยะ รักษาระยะห่างอย่างน้อย 5 เมตรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จักรยานทุกคันพุ่งลงเขาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 30-35  กม./ชม.ซึ่งนับว่าเร็วมากสำหรับจักรยาน ลมพัดผ่านหูดังอื้ออึงไปหมด

พวกเราปล่อยจักรยานไหลลงเขาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่า 40 นาทีก็พบอุปสรรคที่คาดไม่ถึง เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูงที่หมอกลงจัด ทำให้พระอาทิตย์ลับเร็วกว่ากำหนด แสงสว่างเริ่มจางหายลงไปทุกที  ในขณะที่หมอกยังลงจัดทำให้การบังคับจักรยานอันตรายมาก เมื่อถึงที่ราบพอจะหยุดรถได้ผมได้ตะโกนให้ทุกคันหยุดรถ สวมเครื่องป้องกันหนาวเพิ่มขึ้น เปิดไฟหน้าและไฟท้ายทุกคันเพื่อความปลอดภัย สำหรับผมต้องขอยืมไฟส่องสว่างจากรอ.ปรีชามาถือด้วยมือซ้ายเพื่อที่จะส่องไปให้เห็นด้านหน้า ด้านข้าง เพื่อนำทางตลอดระยะทางที่เหลือ

ผมได้ปั่นจักรยาน (หรือจะเรียกให้ถูกคือ ’ปล่อยจักรยานลงเขา’) นำหน้าทุกคนพร้อมกับบอกตะโกนบอกสภาพถนนเป็นระยะ บางขณะเป็นโค้งแทบจะหักศอก แสงอาทิตย์ริบหรี่ลงทุกทีๆ เป็นเช่นนี้อยู่เกือบ 15 นาทีจึงได้ถึงตีนเขา โชคดีที่สุดที่ผมตาไวเห็นป้ายรีสอร์ทบริเวณนั้นจึงได้พาขบวนปั่นจักรยานข้ามประเทศเลี้ยวเข้าไป สภาพรีสอร์ทกว้างขวางแต่ค่อนข้างเก่าคำนวณอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปี พวกเราแวะพักที่นี่หนึ่งคืนทานอาหารภายในรีสอร์ท

คืนนั้นนักปั่นบางคนซื้อวิสกี้คล้ายๆเหล้าจีนดองยา 1 ขวดแบ่งกันทานแก้หนาว ระหว่างรับประหารอาหารพวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานถึงประสบการณ์ที่แสนจะตื่นเต้นที่ได้รับ ผมคิดว่าพวกเราโชคดีมากที่ไม่มีใครประสพอุบัติเหตุในการปั่นจักรยานลงเขาที่สูงชันเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม

15.00 น. 1 ชม.ก่อนถึงด่านน้ำพาว ละอองน้ำที่เห็นด้านหลังคือหมอกที่ลอยผ่านบนภูเขา
15.00 น. 1 ชม.ก่อนถึงด่านน้ำพาว ละอองน้ำที่เห็นด้านหลังคือหมอกที่ลอยผ่านบนภูเขา




16.00 น. ขณะข้ามด่านน้ำพาว
16.00 น. ขณะข้ามด่านน้ำพาว


16.00 น. ผู้การผดุงขณะจูงจักรยานข้ามด่าน
16.00 น. ผู้การผดุงขณะจูงจักรยานข้ามด่าน


เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสปป.ลาว โบกมือให้กำลังใจ
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสปป.ลาว โบกมือให้กำลังใจ






16.30 น. ระยะ 20 เมตรไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเนื่องจากหมอกลงจัด (ด้านหลังของผู้การผดุงและรอ.ปรีชา)
16.30 น. ระยะ 20 เมตรไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเนื่องจากหมอกลงจัด (ด้านหลังของผู้การผดุงและรอ.ปรีชา)


19.30 น. รับประทานอาหารเย็นที่รีสอร์ทพร้อมกับวิสกี้ของจีนบำรุงกำลัง
19.30 น. รับประทานอาหารเย็นที่รีสอร์ทพร้อมกับวิสกี้ของจีนบำรุงกำลัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น