วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

บันทึกเส้นทางสีแดงเพื่อสันติภาพ (ตอน 11)

8 March 2012 at 01:35

11. เยี่ยมคุณเกียรติศักดิ์ มาอาสา (ชายตาบอดเพราะแก๊สน้ำตาเมื่อ 10 เมย.2533)

วันที่ 25 พย.2553 พวกเราเดินทางถึงอุดรธานี ก่อนหน้านั้นผมได้รับโทรศัพท์จากคุณนิดซึ่งเป็นเลขาของคุณหมอเหวงแจ้งมาว่าคุณขวัญชัย ไพรพนา (ขณะนั้นถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ) ได้ขอให้ขบวนจักรยานเส้นทางสีแดงไปแวะเยี่ยมให้กำลังสถานีวิทยุชุมชนคนรักอุดรซึ่งเพิ่งเปิดสถานีอีกครั้งหลังจากที่ถูกทหารปิดไปหลังเวทีที่ราชประสงค์แตก ผมนำครึ่งหนึ่งของขบวนจักรยานเส้นทางสีแดงแวะไปให้กำลังใจ และกลับมาที่พักในช่วงเย็น

เย็นวันถัดไปมีเวทีใหญ่ต้อนรับกิจกรรม มีคนเสื้อแดงไปร่วมงานนับพันคน มีคนเสื้อแดงจากหลายจังหวัดตามไปให้กำลังใจพวกเราถึงอุดร มีคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุขเป็นผู้ปราศัยหลัก งานในวันนั้นถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของกิจกรรมเส้นทางสีแดง คุณแป๊ะ บางสนานและสมาชิกทีมปั่นจักรยานได้ขึ้นเวทีให้ความบันเทิงกับชาวบ้านที่มาร่วมงาน ผมได้ขึ้นเวทีกล่าวรายงานกิจกรรม และได้ร้องเพลงบนเวทีครั้งแรกในชีวิต เพลงที่ร้องคือเพลงนักสู้ธุลีดินของคุณจิ้น กรรมาชน ก่อนจะร้องเพลงผมได้ขอให้ทุกคนได้ร่วมกันลุกขึ้นยืนเพื่อไว้อาลัยให้กับวีรชนที่จากไป บรรยากาศกิจกรรมในคืนนั้นได้รับการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ Voice TV

เช้าวันที่ 27 พย. 2553 พวกเราปั่นจักรยานไปจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้าย ตลอดทางก่อนเข้าเมืองมีพี่น้องเสื้อแดงชาวหนองคายมาต้อนรับเป็นจำนวนมาก มีการตั้งจุดต้อนรับพวกเรา 3 จุดนอกเมืองบริเวณใต้สะพานลอย ทุกจุดมีป้ายขนาดความยาวไม่ต่ำกว่า 70 เมตรเขียนต้อนรับกิจกรรมนี้อย่างยิ่งใหญ่ ความรู้สึกของพวกเราที่ปั่นจักรยานที่แต่ละจุดเป็นความรู้สึกที่ภูมิใจในความสำเร็จที่มาถึง หลังจากบากบั่นมา 28 วัน ในท้ายที่สุดพวกเราได้มาถึงหนองคายโดยสวัสดิภาพ

คืนวันนั้นมีการจัดงานต้อนรับกิจกรรมเส้นทางสีแดงกลางสนามกีฬาจังหวัดหนองคาย มีคนเสื้อแดงจากจ.บึงกาฬ (ขณะนั้นยังเป็นอ.บึงกาฬ ขึ้นกับหนองคาย) มาร่วมงานจำนวนมาก ที่นี่เราได้พบผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมซึ่งเป็นครอบครัวของเด็กกำพร้าจำนวน 3 คนที่พ่อถูกทหารยิงเสียชีวิต ที่หลังเวทีผมได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณแม่ของเด็กพร้อมกับสอบถามถึงผลกระทบทางจิตใจที่เด็กได้รับ ทราบว่าลูกชายคนโตอายุ 10 ขวบกลายเป็นเด็กซึมเศร้า ลูกสาวคนกลางอายุ 5 ขวบนอกจากซึมเศร้าแล้วยังมีอาการหวาดผวา กลัวคนแปลกหน้า ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 3 ขวบยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าพ่อจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เขาเที่ยวบอกกับคนไกล้ชิด (ครู ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ) ว่าพ่อเขามาหาเขาตอนกลางคืน พาเขาไปเที่ยวและซื้อขนมให้ (ความเห็นจากผู้เขียน - เด็กคนนี้สร้างพ่อขึ้นในจินตนาการเพื่อทดแทนความสูญเสียที่ได้รับ)

ผมเชิญแม่ (ทราบชื่อภายหลังว่าคุณแดง จันทร์หา) และลูกทั้งสามขึ้นเวทีเพื่อรับมอบเงินบริจาค และได้กล่าวฝากฝังคนเสื้อแดงให้ช่วยดูแลไม่ทอดทิ้งครอบครัวนี้ ที่เวทีนี้ผมได้ขึ้นกล่าวรายงานความสำเร็จกิจกรรมและกล่าวปิดกิจกรรม หลังจากนั้นคุณแป๊ะได้ขึ้นร้องเพลงให้ความสุขกับพี่น้องเสื้อแดง คืนนั้นบรรยากาศผ่านไปอย่างสนุกสนาน มีคนเสื้อแดงจำนวนนับร้อยคนที่อยู่เป็นเพื่อนค้างคืนกับเราที่สนามกีฬาแห่งนั้น

เช้าวันถัดไปพวกเราปั่นจักรยานเพื่อไปถึงเป้าหมายสุดท้าย นั่นคือสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตร ที่นั่นนักข่าวจาก Voice TV ไปรอทำข่าวอยู่แล้ว มีพี่น้องเสื้อแดงที่ตามไปให้กำลังใจจำนวนมาก ผมและรต.ธนะสิทธิ์ พิพุฒได้ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมของกิจกรรมและโครงการถัดไป จากนั้นครึ่งหนึ่งของทีมก็ได้แยกกลับกรุงเทพ ในขณะที่ผม รต.ธนะสิทธิ์ พิพุฒ รอ.พิสิทธิ์ พิพุฒ และสมาชิกอีกครึ่งหนึ่งตกลงใจที่จะย้อนกลับมาที่อุดรธานีและทำกิจกรรมเพิ่มเติม

พวกเราได้ย้อนกลับมาที่สถานีวิทยุชุมชนคนรักอุดร และได้รับการต้อนรับโดยคุณอาภรณ์ สาระคำ (ภรรยาคุณขวัญชัย สาระคำ หรือไพรพนา) และแจ้งว่าเราประสงค์ที่จะทำกิจกรรมเยี่ยมเยียนผู้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากกำหนดเดิม ข่าวดังกล่าวสร้างความดีใจให้กับพี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ที่สถานีมาก ผมได้รับเชิญให้ไปออกอากาศและร้องเพลงนักสู้ธุลีดินให้กับชาวอุดรฟังอีกครั้งจากห้องส่ของทางสถานี

สองวันที่เหลือคุณอาภรณ์ สาระคำได้พาพวกเราไปเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ 4 ครอบครัว หนึ่งในนั้นเป็นครอบครัวของชายตาบอดที่พิการเพราะแก๊สน้ำตาเมื่อวีนที่ 10 เมย.2553 วันนั้นเป็นวันที่ 29 พย.2553 พวกเราเดินทางไปถึงที่บ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่บ้านสามพร้าว อ.เมือง ไม่ไกลจากสถานีวิทยุคนรักอุดรมากนัก

พวกเราพบชายคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี รูปร่างผอมสูง พูดจาสุภาพเรียบร้อย เขาพิการตาซ้ายมาตั้งแต่กำเนิด เขาเล่าว่าเขาเดินทางไปร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 12 มีค.2553 ในวันที่ 10 เมย.เขาอยู่ที่ผ่านฟ้าและถูกแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เขาได้รับบาดเจ็บและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาเล่าว่าไม่ได้รับการดูแลรักษาดีเท่าที่ควรจนทำให้ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวบอดสนิท ในขณะที่เขาพูดผมมองเข้าไปในหน้ากากเล็กๆที่ครอบดวงตาข้างขวาของเขาไว้ .. ผมเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายจากดวงตาข้างนั้น

ผมนำธงชาติที่ผมติดตัวมาด้วยคลุมไหล่ให้กับเขาพร้อมกับบอกเขาว่า ธงชาติผืนนี้ผมใช้คลุมไหล่มาตลอดระยะทาง 1,700 กม.ที่ผมเดินทางจากราชประสงค์มาที่บ้านหลังนี้ ผมขอมอบธงชาติผืนนี้ให้กับคุณเกียรติศักดิ์เป็นที่ระลึก ขอให้จำไว้เสมอว่าพวกเราคนไทยทุกคนเป็นหนี้ดวงตาข้างนั้นของคุณเกียรติศักดิ์ ประชาธิปไตยประเทศไทยเป็นหนี้ดวงตาของคุณเกียรติศักดิ์

เขาพูดตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขากล่าวขอบคุณและขอร้องให้ผมนำคำพูดที่เขาจะกล่าวต่อไปนี้มาถ่ายทอดให้กับคนเสื้อแดงทุกที่ที่มีโอกาส ขอให้ถ่ายทอดทางอินเทอร์เนท ถ่ายทอดทุกเวทีที่ผมไป คำพูดของเขาที่ผมจำได้ เขาพูดว่า ... ถึงแม้ว่าตาเขาจะบอด แต่ใจเขาไม่บอด เขาไม่เสียดายดวงตาข้างนี้ เขาขออุทิศดวงตาข้างนี้ให้กับประชาธิปไตยของลูกหลานไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น