2 March 2012 at 23:52
10. เดินหน้าตามหาความยุติธรรม
วันแล้ววันเล่าที่นักปั่นจักรยานเส้นทางสีแดงได้ปั่นจักรยานเดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง ภาพที่น่าประทับใจผ่านสายตาและความทรงจำที่ไม่มีวันลืม ภาพของชาวไร่ชาวนาที่เกี่ยวข้าวยืนโบกมือให้กับพวกเราที่ใส่เสื้อแดงปั่นจักรยานผ่านพวกเขาไป ภาพของคนเฒ่าคนแก่ที่วิ่งออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆโบกมือให้กำลังใจพวกเราพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า พวกเขาเหล่านั้นคือตัวแทนของคนชนบทที่เดินทางมาชุมนุมที่กรุงเทพในหน้าร้อนของปี 2553 และต้องเห็นภาพเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขายิงตาย พวกเขาคงคิดว่าเสื้อแดงคงถูกปราบหมดแล้วและคงไม่มีวันที่จะได้เห็นคนที่ใส่เสื้อแดงอีก
พวกเราพบความจริงอีกอย่างว่าคนเสื้อแดงคือขวัญใจของเด็กๆ ในทุกจังหวัดที่ปั่นจักรยานผ่านตัวเมืองในยามบ่ายที่โรงเรียนเลิก เด็กๆจะโบกมือตะโกนเชียร์ให้กำลังใจพวกเราด้วยคำพูดที่เหมือนๆกันว่า "เสื้อแดงสู้ๆ" ผมเคยขึ้นเวทีและตั้งคำถามนี้กับผู้ฟัง ผมถามเขาว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้? ในขณะที่รัฐบาลพยายามประโคมข่าวให้คนเสื้อแดงดูน่ากลัว เป็นผู้ก่อการร้าย แต่ทำไมผู้ก่อการร้ายปั่นจักรยานถึงเป็นขวัญใจของเด็กๆในภาคอีสาน เพราะพวกเขาเห็นคนเสื้อแดงสู้กับทหารด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่? เพราะพวกเขาเห็นคนเสื้อแดงล้อมรถถังด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่? หากถามเด็กๆเหล่านั้นว่าให้เลือกระหว่างเป็นทหารหรือเป็นคนเสื้อแดงเด็กๆจะตอบว่าอย่างไร?
วันที่ 24 ตค.2553 พวกเราถึงสกลนครไปให้กำลังคนเสื้อแดงที่อ.เต่างอยที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีเวทีเล็กๆที่เป็นเวทีชาวบ้าน ขากลับพวกเราปั่นจักรยานผ่านทุ่งนามืดมิดมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องนำทาง วันที่ 25 ตค.พวกเราผ่านบ้านหนองกุง อ.วาริชภูมิ จ.สกลนครเพื่อคารวะอนุสรณ์สถานจิตร ภูมิศักดิ์ และพักที่อ.พังโคน วันที่ 25 ตค.2553 พวกเราถึงจ.อุดรธานีซึ่งกิจกรรมเส้นทางสีแดงมีกำหนดทำกิจกรรมที่นี่ 2 วัน
วันที่ 26 ตค. 2553 เช้าพวกเราไปยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีเผาศาลากลาง บ่ายพวกเราไปเยี่ยมเยียนผู้ต้องขังที่เรือนจำกลางอุดรธานี เย็นวันนั้นมีการจัดงานต้อนรับขบวนปั่นจักรยานเส้นทางสีแดงมีคนไปร่วมนับพันคน มีนักข่าวจาก Voice TV ไปทำข่าว
ในทุกจังหวัดที่มีเวที ผมและคุณแป๊ะ คนบางสนานจะเป็นตัวแทนของกิจกรรมเส้นทางสีแดงขึ้นเวที ผมจะรายงานความคืบหน้าของกิจกรรมและการเยี่ยมเยียนชาวบ้าน คุณแป๊ะจะขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อสร้างความบันเทิง เพลงที่ฮิทมากในขณะนั้นคือเพลงรักคนเสื้อแดงซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเพลงอมตะของคนเสื้อแดงไปแล้ว นอกจากนี้จะมีนักปั่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารขึ้นไปเต้นรำบนเวทีเพื่อสร้างความสนุกสนานและเป็นกันเองกับชาวบ้าน ก่อนที่จะเข้าอุดร ร.ต.ธนะสิทธิ์ พิพุฒ จะอ่านกลอนบนเวทีพร้อมกับคุณแปีะ คนบางสนาน ดังนี้
" พฤกษภผกาสร อีกกุญชรอัดปลดปลง
โททนเสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรี
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ”
(คำแปล)
วัว ควายและช้างที่ตายลงไป ยังมีเขา มีงาไว้ให้ทำประโยชน์ได้
แต่สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อตายไปแล้ว ไม่มีส่วนใดในร่างกายเหลือไว้ให้เกิดประโยชน์
จะมีก็แต่ความดีและความชั่วที่ได้ทำมาแล้วเท่านั้น ที่จะจารึกเอาไว้ในโลกนี้
วันแล้ววันเล่าที่นักปั่นจักรยานเส้นทางสีแดงได้ปั่นจักรยานเดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง ภาพที่น่าประทับใจผ่านสายตาและความทรงจำที่ไม่มีวันลืม ภาพของชาวไร่ชาวนาที่เกี่ยวข้าวยืนโบกมือให้กับพวกเราที่ใส่เสื้อแดงปั่นจักรยานผ่านพวกเขาไป ภาพของคนเฒ่าคนแก่ที่วิ่งออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆโบกมือให้กำลังใจพวกเราพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า พวกเขาเหล่านั้นคือตัวแทนของคนชนบทที่เดินทางมาชุมนุมที่กรุงเทพในหน้าร้อนของปี 2553 และต้องเห็นภาพเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขายิงตาย พวกเขาคงคิดว่าเสื้อแดงคงถูกปราบหมดแล้วและคงไม่มีวันที่จะได้เห็นคนที่ใส่เสื้อแดงอีก
พวกเราพบความจริงอีกอย่างว่าคนเสื้อแดงคือขวัญใจของเด็กๆ ในทุกจังหวัดที่ปั่นจักรยานผ่านตัวเมืองในยามบ่ายที่โรงเรียนเลิก เด็กๆจะโบกมือตะโกนเชียร์ให้กำลังใจพวกเราด้วยคำพูดที่เหมือนๆกันว่า "เสื้อแดงสู้ๆ" ผมเคยขึ้นเวทีและตั้งคำถามนี้กับผู้ฟัง ผมถามเขาว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้? ในขณะที่รัฐบาลพยายามประโคมข่าวให้คนเสื้อแดงดูน่ากลัว เป็นผู้ก่อการร้าย แต่ทำไมผู้ก่อการร้ายปั่นจักรยานถึงเป็นขวัญใจของเด็กๆในภาคอีสาน เพราะพวกเขาเห็นคนเสื้อแดงสู้กับทหารด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่? เพราะพวกเขาเห็นคนเสื้อแดงล้อมรถถังด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่? หากถามเด็กๆเหล่านั้นว่าให้เลือกระหว่างเป็นทหารหรือเป็นคนเสื้อแดงเด็กๆจะตอบว่าอย่างไร?
วันที่ 24 ตค.2553 พวกเราถึงสกลนครไปให้กำลังคนเสื้อแดงที่อ.เต่างอยที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีเวทีเล็กๆที่เป็นเวทีชาวบ้าน ขากลับพวกเราปั่นจักรยานผ่านทุ่งนามืดมิดมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องนำทาง วันที่ 25 ตค.พวกเราผ่านบ้านหนองกุง อ.วาริชภูมิ จ.สกลนครเพื่อคารวะอนุสรณ์สถานจิตร ภูมิศักดิ์ และพักที่อ.พังโคน วันที่ 25 ตค.2553 พวกเราถึงจ.อุดรธานีซึ่งกิจกรรมเส้นทางสีแดงมีกำหนดทำกิจกรรมที่นี่ 2 วัน
วันที่ 26 ตค. 2553 เช้าพวกเราไปยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีเผาศาลากลาง บ่ายพวกเราไปเยี่ยมเยียนผู้ต้องขังที่เรือนจำกลางอุดรธานี เย็นวันนั้นมีการจัดงานต้อนรับขบวนปั่นจักรยานเส้นทางสีแดงมีคนไปร่วมนับพันคน มีนักข่าวจาก Voice TV ไปทำข่าว
ในทุกจังหวัดที่มีเวที ผมและคุณแป๊ะ คนบางสนานจะเป็นตัวแทนของกิจกรรมเส้นทางสีแดงขึ้นเวที ผมจะรายงานความคืบหน้าของกิจกรรมและการเยี่ยมเยียนชาวบ้าน คุณแป๊ะจะขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อสร้างความบันเทิง เพลงที่ฮิทมากในขณะนั้นคือเพลงรักคนเสื้อแดงซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเพลงอมตะของคนเสื้อแดงไปแล้ว นอกจากนี้จะมีนักปั่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารขึ้นไปเต้นรำบนเวทีเพื่อสร้างความสนุกสนานและเป็นกันเองกับชาวบ้าน ก่อนที่จะเข้าอุดร ร.ต.ธนะสิทธิ์ พิพุฒ จะอ่านกลอนบนเวทีพร้อมกับคุณแปีะ คนบางสนาน ดังนี้
" พฤกษภผกาสร อีกกุญชรอัดปลดปลง
โททนเสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรี
สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ”
(คำแปล)
วัว ควายและช้างที่ตายลงไป ยังมีเขา มีงาไว้ให้ทำประโยชน์ได้
แต่สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อตายไปแล้ว ไม่มีส่วนใดในร่างกายเหลือไว้ให้เกิดประโยชน์
จะมีก็แต่ความดีและความชั่วที่ได้ทำมาแล้วเท่านั้น ที่จะจารึกเอาไว้ในโลกนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น