วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผมอยากเข้าพรรคเพื่อไทยทำงานด้านมวลชนพัฒนาประชาธิปไตย


ณ.ที่ใด ดวงใจไม่เคยหวั่น จะฝ่าฟันอุปสรรคและขวากหนาม
ประชาธิปไตยไม่เกินเอื้อมพยายาม ฝากชื่อนามให้โลกรู้ .. "กูเสื้อแดง



ผมอยากเข้าพรรคเพื่อไทยทำงานด้า
นมวลชนพัฒนาประชาธิปไตย ขืนทำกิจกรรมด้วยเงินตัวเองต่อไปมีหวังล่มจม ผู้เกี่ยวข้องกรุณาแนะนำ

ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร

ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เคลื่อนไหวต้านรัฐประหารแม้จะถูกดำเนินคดี ผมสามารถบอกกับลูกๆได้เต็มปากว่าพ่อได้ปกป้องประชาธิปไตยเพื่อลูกๆของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ถ่ายพร้อมกับบันทึกแจ้งการดำเนินคดีจากศาลทหาร มีผู้คุมเรือนจำมารอรับตัว ได้รับการปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเวลา 21.00 น.

จดหมายร้องขอความเป็นธรรม


พรุ่งนี้ 31 กค. 9.00 น. ผมต้องไปศาลทหารเนื่องจากเป็นกำหนดส่งฟ้อง ซึ่งจะรู้ว่าถูกฟ้องหรือไม่ ข้อหาใด ผมขอเปิดจดหมายร้องขอความเป็นธรรมที่ได้ทำถึงตุลาการศาลทหารให้สังคมได้ทราบ เนื้อหาดังต่อไปนี้


(จดหมายร้องขอความเป็นธรรม)

เรียน ตุลาการศาลทหาร

ตามที่ข้าพเจ้าได้ถูกจับกุมจากบ้านพักเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2557 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าร่วมชุมนุมคัดค้านคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่บริเวณหอศิลป์ นั้น ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องขอความเป็นธรรมในการพิจารณาในการตั้งข้อหากับข้าพเจ้าด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังนี้

ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นนักธุรกิจ และเป็นอดีตอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย หลายปีมานี้ข้าพเจ้าเป็นนักกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมและประชาธิปไตย กิจกรรมที่ข้าพเจ้าทำมีชื่อว่ากิจกรรมเส้นทางสีแดงซึ่งเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานทางไกลไปยังชนบทในภูมิภาคต่างๆ นำเงินและสิ่งของบริจาคไปมอบให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในปี 2553 ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปี 2554 ผู้ร่วมกิจกรรมเส้นทางสีแดงมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ครู และประชาชนทั่วไปวัยเกษียน ข้าพเจ้าได้เผยแพร่กิจกรรมบนเฟซบุ้คของใช้ชื่อ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” กิจกรรมนี้มิได้เคยสร้างความขัดแย้งในสังคม ตรงกันข้าม กิจกรรมเส้นทางสีแดงเป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าเป็นกิจกรรมที่แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เมตตาธรรมและสันติวิธี ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาโดยตลอด

ในวันดังกล่าวข้าพเจ้าได้เดินทางไปโดยลำพังโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้ามาบุญครองที่อยู่ไกล้กับหอศิลป์โดยลงที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ระหว่างที่เดินเข้าศูนย์การค้ามาบุญครองข้าพเจ้าพบเห็นทหารยืนรักษาการณ์ประจันหน้ากับประชาชนที่ตะโกนส่งเสียงดัง มีสื่อมวลชนถ่ายภาพจำนวนมาก ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปดูเหตุการณ์พบเห็นหญิงชราคนหนึ่งชูป้ายใส่ทหารและตะโกนเสียงดัง เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจผิดว่าประชาชนกำลังถูกทำร้าย จึงได้เอาตัวเข้าไปขวางระหว่างหญิงผู้นั้นและทหาร พร้อมกับตะโกนบอกทหารว่า “จับเลยๆ” ซึ่งหมายถึงให้จับข้าพเจ้าแทนหญิงคนนั้น

ในขณะนั้นข้าพเจ้าอยู่ในอาการตกใจและสับสน ประกอบกับเสียใจที่มีการทำรัฐประหารจึงได้แสดงออกด้วยอารมณ์โกธรซึ่งเป็นอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อได้สติจึงได้เดินออกมาจากบริเวณนั้น และเข้าไปเดินในศูนย์การค้าขากลับได้เดินกลับไปที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับกล่าวคำขอโทษว่า “น้อง เมื่อกี้พี่พูดรุนแรงเกินไป พี่ขอโทษ” ขณะนั้นมีทหารอยู่ในเหตุการณ์หลายคนเป็นพยาน ซึ่งต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าถูกควบคุมตัวมาที่กรมทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ทหารที่สอบปากคำข้าพเจ้า 2 นายก็เป็นทหารกลุ่มเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้กล่าวคำขอโทษ สามารถเป็นพยานในเหตุการณ์นี้ได้

ในขณะที่ข้าพเจ้าถูกสอบปากคำนั้น ข้าพเจ้าถูกสอบถามถึงความเกี่ยวข้องกับกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) การเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ก่อความรุนแรง หรือการกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่? ข้าพเจ้าได้ชี้แจงว่าข้าพเจ้าดำเนินกิจกรรมโดยอิสระ มิได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มนปช. ข้าพเจ้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงใดๆ และข้าพเจ้าได้โพสข้อความเทิดทูนพระมหากษัตริย์ตลอดมา โดยเฉพาะพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ซึ่งข้าพเจ้าได้โพสบ่อยครั้งเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงได้เคยปั่นจักรยานจากกรุงเทพไปถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวลเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2557 ข้าพเจ้ายังได้เคยปั่นจักรยานไปภาคเหนือ ภาคกลาง พม่า ลาว และประเทศจีน รวมเป็นระยะทางกว่า 4,000 กม. โดยเรียกร้องให้ความปรองดองและสมานฉันทน์ของสังคมไทยและเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ข้าพเจ้ายินดีที่จะนำหลักฐานในการทำกิจกรรมดังกล่าวแสดงต่อนายทหารพระธรรมนูญตลอดเวลา

อนึ่ง เอกสารที่ทหารที่มาดำเนินการจับกุมข้าพเจ้ามีข้อมูลหลายอย่างที่เป็นการใส่ความหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น กล่าวหาว่าข้าพเจ้าไปขึ้นเวทีที่ขอนแก่นเพื่อปลุกระดมให้คนออกมาต่อต้านรัฐประหาร ทั้งที่ข้าพเจ้ามิได้เดินทางไปที่ขอนแก่นเลยหลังรัฐประหาร และภาพที่นำมาประกอบก็เป็นภาพตั้งแต่ปี 2555 นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าข้าพเจ้าถ่ายรูปกับนายจักรภพ เพ็ญแขที่กัมพูชา แต่ภาพประกอบกลับเป็นภาพที่ข้าพเจ้ายืนถ่ายรูปกับเด็กหญิงอายุ 5-6 ขวบที่บริเวณอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น เรื่องดังกล่าวข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจผิดและมิได้บอกกล่าวกับบุคคลใดให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อทหารที่มาดำเนินการจับกุม

ในยามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ต้องการนำสันติสุข เสริมสร้างความสามัคคีและปรองดองของคนในชาติ ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับนักกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมที่ได้อุทิศตนทำในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ และขอได้โปรดยุติการดำเนินคดีกับข้าพเจ้า จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ (ผู้ร้องเรียน)
18 กรกฏาคม 2557