วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกเส้นทางสีแดงสู่ประชาธิปไตย ตอนที่ 19

31 October 2013 at 23:03
19. ไปเวียดนาม เมืองวินห์ (Vinh City)
18.00 น. อนุเสาวรีย์โฮ จิมินห์ กลางเมืองวินห์ (Vinh City)
เช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 พวกเราเดินทางออกจากรีสอร์ทเล็กๆบนภูเขาที่กั้นพรมแดนลาว-เวียดนาม มุ่งหน้าเมืองวินห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโฮจิมินห์ วีรบรุษผู้กอบกู้เวียดนามจากอเมริกา เมืองวินห์เป็นเมืองซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม ระยะทางกว่า 150 กม.

อากาศตอนเช้าเต็มไปด้วยหมอกหนา เส้นทางที่ปั่นจักรยานเป็นทางลาดลงเขาไม่ต่ำกว่า 20 กม.เพียงแต่ไม่ลาดชันเท่าเมื่อวาน สภาพถนนเป็นถนนลาดยางเล็กๆจากป่าเขาจนเข้าตัวเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในเวลาเกือบเที่ยง ป้ายบอกทางและสถานที่เกือบทั้งหมดเป็นภาษาเวียดนามซึ่งไม่มีพวกเราคนใดเข้าใจ การสื่อสารต้องใช้ภาษามือกับชาวเวียดนาม พวกเราแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ อาหารที่ทานเรียกว่า “เฝอ” (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ) คิดเป็นเงินไทยชามละ 50 บาท

จากนั้นตลอดช่วงบ่ายพวกเรามุ่งหน้าเมืองวินห์ตามป้ายบอกทาง เจอปัญหายางรั่ว 2 ครั้งซึ่งต้องแวะปั่นตามรายทาง อากาศที่เวียดนามหนาวเย็นกว่าที่ลาวมาก ในวันนั้นแทบไม่มีแสงแดดให้เห็น พวกเราถึงตัวเมืองวินห์ในเวลาเย็น และตรงดิ่งไปที่สวนสาธารณะกลางเมืองซึ่งเป็นจุดหมายหลักของเราในวันนี้

สวนสาธารณะแห่งนี้มีขนาดกว้างกว่าสนามหลวง มีชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เปิดเพลงภาษาเวียดนามฟังแล้วคล้ายๆกับทำนองเพลงจีน กลางสวนสาธารณะมีรูปปั้นของโฮจิมินห์ตั้งตระหง่าน พวกเราจอดรถจักรยานและรีบไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะจางหายไป ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพเดียวที่เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่ง เส้นทางสีแดงเคยมาไกลจากราชประสงค์ถึงเวียดนาม

ก่อนจะพลบค่ำ โชคดีที่ผู้การผดุงพบไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้ เขาอาสาพาไปโรงแรมกลางตัวเมือง ราคาห้องละ 25 ดอลลาร์ (ประมาณ 800 บาท) ไกด์คนนี้พาพวกเราไปทานอาหารเวียดนามแบบชาวบ้าน ราคาไม่แพงและแม่ค้าเป็นมิตรมาก ผมสังเกตว่าผู้หญิงเวียดนามสวยและผิวดีมาก ไกด์เล่าว่าผู้หญิงเวียดนามไม่นิยมถูกแสงแดด เวลาจะออกกลางแจ้งจะต้อใส่เสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันผิว

เขาเล่าให้ฟังถึงประวัติการต่อสู้ของชาวเวียดนามที่ล้มล้างจักรพรรดิบ๋าวได๋ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม เขาบอกว่าสำหรับชาวเวียดนาม ‘ประชาชน’ ย่อมเป็นใหญ่และมีความสำคัญกว่าศักดินาคนกลุ่มน้อย ก่อนจากการรอ.ปรีชาได้มอบเสื้อเส้นทางสีแดงให้เป็นที่ระลึก

พวกเราพักที่เวียดนามเพียง 1 คืน รุ่งเช้าออกจากเมืองวินห์โดยรถโดยสารสู่เมืองสะหวันเขตของสปป.ลาว เช้าวันนั้นมีรถมารับพวกเราถึงโรงแรม ฝนตกตลอดเช้า การรอรถค่อนข้างทุลักทุเลและเต็มไปด้วยความกังวลเนื่องจากความไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น พวกเราต้องเสียค่าระวางรถจักรยานคันละ 200 บาทนอกเหนือจากค่าโดยสาร นั่งรถโคลงเคลงปนกับชาวเวียดนามซึ่งมองนักปั่นเสื้อแดงจากเมืองไทยด้วยสายตาแปลกๆระคนสนใจ ถึงเมืองสะหวันเขตประมาณ 2 ทุ่ม

พวกเราต้องต่อรถโดยสารจากสะหวันนะเขตไปเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ติดชายแดนไทยทางฝั่งมุกดาหาร ถึงที่หมายในเวลาตี 1 กว่า พวกเรายังไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น น้ำดื่มแทบจะหมดเกลี้ยง ไม่มีร้านค้า ไม่มีร้านอาหาร ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนเมืองร้างยกเว้นแสงไฟที่ด่านเท่านั้น

พวกเราตกลงกางเตนท์นอนที่หน้าประตูด้านตามคำแนะนำของผู้การผดุง ก่อนที่จะนอนในเตนท์ผมสำรวจสิ่งที่พอจะทานได้ประทังความหิว มีขนมปังแบบฝรั่งเศสครึ่งแท่งที่แข็งขนาดเคาะหัวหมาได้ น้ำ 1/3 ของขวด ผมนั่งทานคนเดียวเงียบๆในเตนท์และคิดถึงการทำกิจกรรมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

ใครจะคิดว่าคนที่จบปริญญาโท 2 ใบจากลอนดอนและฝรั่งเศส อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย เคยทำวิจัย มีธุรกิจส่วนตัว จะมาลำบากลำบนต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ ชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาลำบากจริงไหมครับ?


18.00 น. อนุเสาวรีย์โฮ จิมินห์ กลางเมืองวินห์ (Vinh City)

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกเส้นทางสีแดงสู่ประชาธิปไตย ตอนที่ 18

29 October 2013 at 22:26
18. ข้ามด่านน้ำพาวที่สูงเสียดฟ้า ปั่นจักรยานลงเขาสุดระทึก
16.30 น. ผู้การผดุงและรอ.ปรีชาขณะปั่นจักรยานลงเขา
16.30 น. ผู้การผดุงและรอ.ปรีชาขณะปั่นจักรยานลงเขา


พวกเราถึงด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นประเทศลาวและเวียดนามในเวลาบ่าย 4 โมง อากาศหนาวเย็นและหมอกลงจัด ขณะที่พวกเราไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของลาวหลายคนมาพูดคุยด้วยความสนใจ พวกเขารู้เรื่องแทบจะทุกอย่างของไทยเนื่องจากดูทีวีของไทยผ่านจานดาวเทียม พวกเขารู้เรื่องการเมืองของไทยดีมาก พวกเขาชอบคนเสื้อแดงและคุณทักษิณ พวกเขาบอกว่า”บ้านเจ้ามีคนดีๆบ่อฮุ้กจักไซ่ เอามาหื้อข้อยเน้” (แปลว่า ประเทศของคุณมีคนดีๆไม่รู้จักใช้งาน เอามาให้ประเทศลาวของฉันเถอะ)

หลังจากทำเอกสารผ่านแดน พวกเราจูงจักรยานข้ามด่านเข้าเขตประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามแต่งกายเรียบร้อยกว่าฝั่งลาว พวกเขาไม่ค่อยสนใจคนเสื้อแดงเป็นพิเศษเหมือนคนลาว แต่สนใจจักรยานทัวริ่งของนักปั่นมากกว่า พวกเราแลกเงินดอลลาร์ติดตัวจำนวนหนึ่งและเริ่มเดินทางต่อไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามด่านและถ่ายคลิปวีดีโอการปั่นจักรยานของผู้การผดุงและรอ.ปรีชาจากด้านหลัง อากาศหนาวจนมือและปากสั่น เป้าหมายของวันนั้นต้องรีบลงเขาก่อนพลบค่ำและหาที่พักให้เร็วที่สุด

เมื่อออกพ้นบริเวณด่านการปั่นจักรยานก็เริ่มประสพปัญหาเนื่องจากเป็นทางลงเขาที่สูงชันประกอบกับหมอกลงจัดไม่สามารถมองได้ไกลเกินกว่า 20 เมตร ผมพยายามปั่นนำไปข้างหน้าและตะโกนบอกสมาชิกให้รักษาความเร็ว พยายามแตะเบรกเพื่อผ่อนความเร็วเป็นระยะ รักษาระยะห่างอย่างน้อย 5 เมตรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จักรยานทุกคันพุ่งลงเขาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 30-35  กม./ชม.ซึ่งนับว่าเร็วมากสำหรับจักรยาน ลมพัดผ่านหูดังอื้ออึงไปหมด

พวกเราปล่อยจักรยานไหลลงเขาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่า 40 นาทีก็พบอุปสรรคที่คาดไม่ถึง เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูงที่หมอกลงจัด ทำให้พระอาทิตย์ลับเร็วกว่ากำหนด แสงสว่างเริ่มจางหายลงไปทุกที  ในขณะที่หมอกยังลงจัดทำให้การบังคับจักรยานอันตรายมาก เมื่อถึงที่ราบพอจะหยุดรถได้ผมได้ตะโกนให้ทุกคันหยุดรถ สวมเครื่องป้องกันหนาวเพิ่มขึ้น เปิดไฟหน้าและไฟท้ายทุกคันเพื่อความปลอดภัย สำหรับผมต้องขอยืมไฟส่องสว่างจากรอ.ปรีชามาถือด้วยมือซ้ายเพื่อที่จะส่องไปให้เห็นด้านหน้า ด้านข้าง เพื่อนำทางตลอดระยะทางที่เหลือ

ผมได้ปั่นจักรยาน (หรือจะเรียกให้ถูกคือ ’ปล่อยจักรยานลงเขา’) นำหน้าทุกคนพร้อมกับบอกตะโกนบอกสภาพถนนเป็นระยะ บางขณะเป็นโค้งแทบจะหักศอก แสงอาทิตย์ริบหรี่ลงทุกทีๆ เป็นเช่นนี้อยู่เกือบ 15 นาทีจึงได้ถึงตีนเขา โชคดีที่สุดที่ผมตาไวเห็นป้ายรีสอร์ทบริเวณนั้นจึงได้พาขบวนปั่นจักรยานข้ามประเทศเลี้ยวเข้าไป สภาพรีสอร์ทกว้างขวางแต่ค่อนข้างเก่าคำนวณอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปี พวกเราแวะพักที่นี่หนึ่งคืนทานอาหารภายในรีสอร์ท

คืนนั้นนักปั่นบางคนซื้อวิสกี้คล้ายๆเหล้าจีนดองยา 1 ขวดแบ่งกันทานแก้หนาว ระหว่างรับประหารอาหารพวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานถึงประสบการณ์ที่แสนจะตื่นเต้นที่ได้รับ ผมคิดว่าพวกเราโชคดีมากที่ไม่มีใครประสพอุบัติเหตุในการปั่นจักรยานลงเขาที่สูงชันเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม

15.00 น. 1 ชม.ก่อนถึงด่านน้ำพาว ละอองน้ำที่เห็นด้านหลังคือหมอกที่ลอยผ่านบนภูเขา
15.00 น. 1 ชม.ก่อนถึงด่านน้ำพาว ละอองน้ำที่เห็นด้านหลังคือหมอกที่ลอยผ่านบนภูเขา

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกเส้นทางสีแดงสู่ประชาธิปไตย ตอนที่ 17


27 October 2013 at 03:15
17. ขึ้นด่านน้ำพาว ปั่นจักรยานบนยอดเขาสูงเสียดฟ้า

เช้าวันถัดมาพวกเราตื่นมาท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้านชาวข่าบนเทือกเขาแห่งนั้น พวกเราเห็นอย่างเต็มตาว่าหมู่บ้านที่พวกเราเดินทางมาถึงค่ำวานเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนยอดเขา เป็นหมู่บ้านเล็กๆมีบ้านเรือนไม่ถึง 20 หลัง เด็กเล็กๆวิ่งมามุงดุคนแปลกหน้าที่ใส่เสื้อแดงสิบกว่าคนปั่นจักรยานมาจากเมืองไทยด้วยความตื่นเต้น ก่อนออกเดินทาง ผู้การผดุงมอบเงินให้กับนายบ้านเวียงจำนวน 300 บาทเพื่อตอบแทนน้ำใจ

หลังจากกลั้วคอด้วยน้ำดื่มพวกเราได้ออกปั่นจักรยานมุ่งหน้าเมืองหลักซาว ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเล็กๆหลายแห่ง สภาพถนนดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งได้แวะถ่ายรูปกับชาวเขาที่ตั้งบ้านเรือนสองข้างทาง คนเฒ่าคนแก่ยังแต่งตัวแบบโบราณ คนหนุ่มสาวแต่งกายแบบสมัยนิยม หญิงสาวชาวลาวมีรอยยิ้มที่สดใส ผู้เฒ่าผู้แก่มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร

บางครั้งเมื่อผ่านหมู่บ้านเล็กๆพวกเราจอดแวะพัก ทักทายกับเด็กๆชาวลาวที่มุงดูนักปั่นเสื้อแดงด้วยความสนใจ เด็กๆชาวลาวพูดภาษาลาวคล้ายๆภาษาไทยเหนือปนกับภาษาอีสาน ฟังเข้าใจกว่า 90% ผมแวะเก็บภาพน่ารักๆเหล่านี้ไว้เพื่อเผยแพร่ในอนาคต ภาพเหล่านี้จะแสดงให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าคนเสื้อแดงได้เผยแพร่ประชาธิปไตยอย่างไร

ช่วงบ่ายพวกเราผ่านเมืองหลักซาวและปั่นจักรยานไต่ขึ้นเขาเรื่อยๆมุ่งหน้าด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นด่านข้ามพรมแดนลาว-เวียดนาม ภูเขาสูงชันขึ้นเรื่อยๆและอากาศก็ลดต่ำลงเช่นกัน พวกเราปั่นจักรยานไปบนถนนบนภูเขาที่แทบจะไม่มีรถผ่านไปมา อากาศหนาวจนต้องใส่ปลอกแขนกันหนาวขณะปั่นจักรยาน ลุงปรีชาและคุณชัชชัยต้องใส่เสื้อกันฝนปั่นจักรยานเพื่อป้องกันละอองน้ำ ข้อดีของอากาศหนาวคือทำให้ไม่ค่อยเหนื่อยช้า อารมณ์สดชื่น

ตั้งแต่ปั่นจักรยานเพื่อประชาธิปไตยผมไม่เคยรู้สึกสดชื่นเช่นนี้มาก่อน ผมถ่ายคลิปและนึกทบทวนในสิ่งที่ผมทำเพื่อประชาธิปไตยมาตลอดเกือบ 3 ปี ผมบอกกับตัวเองว่ามันคุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาในชีวิตหนึ่ง ขณะปั่นจักรยานผมสังเกตว่าบ้านของชาวบ้านที่นี่จะมีฟืนกองไว้นอกบ้าน นั่นพอจะคาดเดาได้ถึงอุณหภูมิยามค่ำคืน เป้าหมายของพวกเราในวันนี้คือจะต้องข้ามด่านน้ำพาวไปให้ได้

สองชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะถึงด่านน้ำพาวอากาศลดต่ำลงมาก และมีลมแรงจัด ต้องจอดพักเหนื่อยบ่อยขึ้นเพราะออกซิเจนเริ่มลดลง ขณะที่พักเหนื่อยจะเห็นละอองน้ำเคลื่อนตัวผ่านศีรษะสูงขึ้นไปไม่กี่เมตร นั่นคือละอองน้ำจากเมฆหากมองจากด้านล่าง

ใครคนหนึ่งของพวกเราพูดว่า “เส้นทางสีแดงกำลังปั่นจักรยานอยู่บนฟ้า ผ่านก้อนเมฆบนยอดเขา คงไม่มีใครอีกแล้วที่เผยแพร่ประชาธิปไตยได้ไกลขนาดนี้”


ถ่ายกับชาวเขา ชนกลุ่มน้อยในเมืองหลักซาว แขวงคำม่วน สปป.ลาว
ถ่ายกับชาวเขา ชนกลุ่มน้อยในเมืองหลักซาว แขวงคำม่วน สปป.ลาว


ป้ายเตือน "ระวังเด็กน้อย"
ป้ายเตือน "ระวังเด็กน้อย"


ทัศนียภาพบนภูเขาสูงของแขวงคำม่วน สปป.ลาว
ทัศนียภาพบนภูเขาสูงของแขวงคำม่วน สปป.ลาว


ถ่ายกับเด็กนักเรียนชาวลาว ทางไปด่านน้ำพาว
ถ่ายกับเด็กนักเรียนชาวลาว ทางไปด่านน้ำพาว


เด็กคนนี้ชื่อดญ.หน่อย เพื่อนเรียก 'อีน่อย' แววตาฉลาดและน่ารักที่สุด
เด็กคนนี้ชื่อดญ.หน่อย เพื่อนเรียก 'อีน่อย' แววตาฉลาดและน่ารักที่สุด


ถ่ายกับเด็กๆชาวลาว ภาพสวยที่สุดของกิจกรรมนี้
ถ่ายกับเด็กๆชาวลาว ภาพสวยที่สุดของกิจกรรมนี้


ภาพนี้เหมือนความฝัน ลำธารเล็กๆ ไหลมาจากเทือกเขาที่มีทะเลหมอกอยู่ข้างหน้า
ภาพนี้เหมือนความฝัน ลำธารเล็กๆ ไหลมาจากเทือกเขาที่มีทะเลหมอกอยู่ข้างหน้า


ผู้การผดุง นายทหารประชาธิปไตยของเส้นทางสีแดง
ผู้การผดุง นายทหารประชาธิปไตยของเส้นทางสีแดง


คุณชัชชัย เสรีชนจากรุงเทพ
คุณชัชชัย เสรีชนจากรุงเทพ


บ้านที่ต้องมีกองฟืนเตรียมไว้ทุกหลัง ขณะปั่นจักรยานไต่เขาขึ้นด่านน้ำพาว
บ้านที่ต้องมีกองฟืนเตรียมไว้ทุกหลัง ขณะปั่นจักรยานไต่เขาขึ้นด่านน้ำพาว


ป้ายก่อนถึงด่านน้ำพาว 6 กม.
ป้ายก่อนถึงด่านน้ำพาว 6 กม.


ลุงคนึงอดีตตำรวจจากสกลนคร รอ.ปรีชา อดีตกัปตันการบินไทย
ลุงคนึงอดีตตำรวจจากสกลนคร รอ.ปรีชา อดีตกัปตันการบินไทย


จอดแวะปะยางก่อนถึงด่านน้ำพาว 5 กม.
จอดแวะปะยางก่อนถึงด่านน้ำพาว 5 กม.


ถ่ายเวลาบ่าย 4 กลางป่าบนภูเขาสูงไกล้ชายแดนลาว-เวียดนาม ละอองน้ำด้านหลังคือเมฆที่เคลื่อนผ่าตัวในรูปละอองน้ำ
ถ่ายเวลาบ่าย 4 กลางป่าบนภูเขาสูงไกล้ชายแดนลาว-เวียดนาม ละอองน้ำด้านหลังคือเมฆที่เคลื่อนผ่าตัวในรูปละอองน้ำ