13. จักรยานหายที่ปากคาด
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด หูได้ยินเสียงคนคุยกันพึมพำๆ มีเสียงคนพูดว่า "สงสัยมันจะเข้ามาเอาไปตอนตี 4 หายไปสองคัน ฯลฯ" ผมงัวเงียเปิดโทรศัพท์เพื่อดูเวลาพบว่าเป็นเวลาประมาณ 04.30 น. เมื่อนอนฟังอยู่สักพักจึงจับใจความได้ว่ามีจักรยานหายไปสองคัน จึงได้รีบลุกออกมาจากเตนท์
อากาศข้างนอกหนาวเย็น มีหมอกลงจางๆ ผมเห็นสมาชิกจับกลุ่มคุยกันอยู่นอกศาลา เมื่อเดินไปสมทบสมาชิกจึงแจ้งว่ามีจักรยานหายไป 2 คัน สำรวจดูแล้วพบว่าเป็นจักรยานของผมและของคุณชัชชัยซึ่งเป็นนักปั่นใหม่จากกรุงเทพ เมื่อสอบถามกันจึงพบว่าทั้ง 2 คันไม่ได้ล้อคโซ่ไว้ คันของคุณชัชใช้เชือกมัดติดกับศาลาริมแม่น้ำโขง ส่วนคันของผมจอดอยู่ติดกับเตนท์ คันของผมเป็นจักรยานเสือภูเขาราคาไม่ถึงหมื่น ส่วนของคุณชัชชัยเป็นจักรยานทัวริ่งยี่ห้อ Merida ราคาสองหมื่นกว่าบาท
ผมเดินไปที่หน้าศาลาตรงทางขึ้นลงพบว่าเสธดำกำลังนอนกรนอยู่ จึงได้ทำการปลุกขึ้นมา พร้อมกับช่วยกันเดินสำรวจรอบบริเวณ พบว่ามีเสาธง ธงชาติไทย ธงอาเซียน และธงของประเทศที่เราจะไปเยือนคือลาว เวียดนาม และกัมพูชาตกอยู่บริเวณไกล้เคียง
พวกเราโทรไปแจ้งตำรวจท้องที่ซึ่งมาถึงในเวลาเช้าตรู่ เมื่อสอบปากคำพวกเราแล้ว จึงสันนิฐานว่าคนร้ายอาศัยช่วงที่ทุกคนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ขี่จักรยานคันเล็กๆมาจอดที่หน้าศาลา และคงจะย่องไปจูงจักรยานที่ไม่ได้ล้อคโซ่ออกไปจากบริเวณนั้น ทำการปลดธงต่างๆบนรถจักรยานเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา จากนั้นก็ขี่ออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ
ตำรวจสันนิฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติดในละแวกไกล้เคียงจึงได้รีบออกตามหา แต่ปัญหาเฉพาะหน้าของเราก็คือจะทำอย่างไรกับจักรยานคันที่หายไป เพราะอีก 2 วันจะต้องเดินทางเข้าไปลาวแล้ว ความหวังจึงฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองปากคาดให้ติดตามรถคืนมาในเช้าวันนั้น
พวกเราทานอาหารเช้าในโรงแรมเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้น ผมได้โพสภาพและเขียนกระทู้ในเฟสบุ้คแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นให้กับคนเสื้อแดงที่ติดตามกิจกรรมนี้ได้รับทราบ โดยได้ปิดกระทู้ว่าบางทีหากไม่ได้จักรยานคืน ผมอาจจะต้องขอการสนับสนุนจากเพื่อนๆในเฟซบุ้คเพื่อนำเงินไปซื้อจักรยานใหม่จำนวน 2 คันแทนคันที่หายไป เพื่อให้กิจกรรมนี้เดินหน้าต่อไป โดยไม่ต้องการให้อุปสรรคเล็กน้อยมาทำให้กิจกรรมต้องสะดุดหรือล่าช้าออกไปจากกำหนดเดิม
จากนั้นผมได้เดินทางไปมอบเงินบริจาคให้กับคุณตาของเด็กกำพร้าถึงบ้าน พร้อมกับไต่ถามความเป็นอยู่ของเด็กทั้งสามตามสมควร ครอบครัวนี้ผมเคยเดินทางมาเยี่ยม 3 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ครอบครัวนี้ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลจำนวน 7.75 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผมคิดว่าการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าที่ปากคาดครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วของเส้นทางสีแดง
เที่ยงวันของวันที่ 21 พย. 2555 พวกเราเดินทางออกจากอำเภอปากคาด เป้าหมายในวันนั้นคือบ้านพักของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ (คุณนิพนธ์ คนขยัน จากพรรคเพื่อไทย) ถึงที่พักในเวลาเย็น พวกเรากางเตนท์กันในบริเวณบ้านพักและรับประหารอาหารร่วมกับคุณนิพนธ์พร้อมกับคนเสื้อแดงที่ตามมาสมทบภายหลัง
พวกเราพูดคุยเรื่องจักรยานที่หายไปอย่างสนุกสนาน มีคนแซวเสธดำ (คุณเริงชัย รังโปดก) ว่านอนเฝ้าเวรอย่างไรปล่อยให้จักรยานหายไปสองคัน เสธดำตอบมาหน้าตาเฉยว่า
"ผมรับผิดชอบเฉพาะความปลอดภัยของนักปั่นครับ ไม่ได้รับผิดชอบจักรยาน .. (HA) "
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด หูได้ยินเสียงคนคุยกันพึมพำๆ มีเสียงคนพูดว่า "สงสัยมันจะเข้ามาเอาไปตอนตี 4 หายไปสองคัน ฯลฯ" ผมงัวเงียเปิดโทรศัพท์เพื่อดูเวลาพบว่าเป็นเวลาประมาณ 04.30 น. เมื่อนอนฟังอยู่สักพักจึงจับใจความได้ว่ามีจักรยานหายไปสองคัน จึงได้รีบลุกออกมาจากเตนท์
อากาศข้างนอกหนาวเย็น มีหมอกลงจางๆ ผมเห็นสมาชิกจับกลุ่มคุยกันอยู่นอกศาลา เมื่อเดินไปสมทบสมาชิกจึงแจ้งว่ามีจักรยานหายไป 2 คัน สำรวจดูแล้วพบว่าเป็นจักรยานของผมและของคุณชัชชัยซึ่งเป็นนักปั่นใหม่จากกรุงเทพ เมื่อสอบถามกันจึงพบว่าทั้ง 2 คันไม่ได้ล้อคโซ่ไว้ คันของคุณชัชใช้เชือกมัดติดกับศาลาริมแม่น้ำโขง ส่วนคันของผมจอดอยู่ติดกับเตนท์ คันของผมเป็นจักรยานเสือภูเขาราคาไม่ถึงหมื่น ส่วนของคุณชัชชัยเป็นจักรยานทัวริ่งยี่ห้อ Merida ราคาสองหมื่นกว่าบาท
ผมเดินไปที่หน้าศาลาตรงทางขึ้นลงพบว่าเสธดำกำลังนอนกรนอยู่ จึงได้ทำการปลุกขึ้นมา พร้อมกับช่วยกันเดินสำรวจรอบบริเวณ พบว่ามีเสาธง ธงชาติไทย ธงอาเซียน และธงของประเทศที่เราจะไปเยือนคือลาว เวียดนาม และกัมพูชาตกอยู่บริเวณไกล้เคียง
พวกเราโทรไปแจ้งตำรวจท้องที่ซึ่งมาถึงในเวลาเช้าตรู่ เมื่อสอบปากคำพวกเราแล้ว จึงสันนิฐานว่าคนร้ายอาศัยช่วงที่ทุกคนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ขี่จักรยานคันเล็กๆมาจอดที่หน้าศาลา และคงจะย่องไปจูงจักรยานที่ไม่ได้ล้อคโซ่ออกไปจากบริเวณนั้น ทำการปลดธงต่างๆบนรถจักรยานเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา จากนั้นก็ขี่ออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ
ตำรวจสันนิฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติดในละแวกไกล้เคียงจึงได้รีบออกตามหา แต่ปัญหาเฉพาะหน้าของเราก็คือจะทำอย่างไรกับจักรยานคันที่หายไป เพราะอีก 2 วันจะต้องเดินทางเข้าไปลาวแล้ว ความหวังจึงฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองปากคาดให้ติดตามรถคืนมาในเช้าวันนั้น
พวกเราทานอาหารเช้าในโรงแรมเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้น ผมได้โพสภาพและเขียนกระทู้ในเฟสบุ้คแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นให้กับคนเสื้อแดงที่ติดตามกิจกรรมนี้ได้รับทราบ โดยได้ปิดกระทู้ว่าบางทีหากไม่ได้จักรยานคืน ผมอาจจะต้องขอการสนับสนุนจากเพื่อนๆในเฟซบุ้คเพื่อนำเงินไปซื้อจักรยานใหม่จำนวน 2 คันแทนคันที่หายไป เพื่อให้กิจกรรมนี้เดินหน้าต่อไป โดยไม่ต้องการให้อุปสรรคเล็กน้อยมาทำให้กิจกรรมต้องสะดุดหรือล่าช้าออกไปจากกำหนดเดิม
จากนั้นผมได้เดินทางไปมอบเงินบริจาคให้กับคุณตาของเด็กกำพร้าถึงบ้าน พร้อมกับไต่ถามความเป็นอยู่ของเด็กทั้งสามตามสมควร ครอบครัวนี้ผมเคยเดินทางมาเยี่ยม 3 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ครอบครัวนี้ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลจำนวน 7.75 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผมคิดว่าการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าที่ปากคาดครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วของเส้นทางสีแดง
เที่ยงวันของวันที่ 21 พย. 2555 พวกเราเดินทางออกจากอำเภอปากคาด เป้าหมายในวันนั้นคือบ้านพักของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ (คุณนิพนธ์ คนขยัน จากพรรคเพื่อไทย) ถึงที่พักในเวลาเย็น พวกเรากางเตนท์กันในบริเวณบ้านพักและรับประหารอาหารร่วมกับคุณนิพนธ์พร้อมกับคนเสื้อแดงที่ตามมาสมทบภายหลัง
พวกเราพูดคุยเรื่องจักรยานที่หายไปอย่างสนุกสนาน มีคนแซวเสธดำ (คุณเริงชัย รังโปดก) ว่านอนเฝ้าเวรอย่างไรปล่อยให้จักรยานหายไปสองคัน เสธดำตอบมาหน้าตาเฉยว่า
"ผมรับผิดชอบเฉพาะความปลอดภัยของนักปั่นครับ ไม่ได้รับผิดชอบจักรยาน .. (HA) "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น