18. ข้ามด่านน้ำพาวที่สูงเสียดฟ้า ปั่นจักรยานลงเขาสุดระทึก
พวกเราถึงด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นประเทศลาวและเวียดนามในเวลาบ่าย 4 โมง อากาศหนาวเย็นและหมอกลงจัด ขณะที่พวกเราไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของลาวหลายคนมาพูดคุยด้วยความสนใจ พวกเขารู้เรื่องแทบจะทุกอย่างของไทยเนื่องจากดูทีวีของไทยผ่านจานดาวเทียม พวกเขารู้เรื่องการเมืองของไทยดีมาก พวกเขาชอบคนเสื้อแดงและคุณทักษิณ พวกเขาบอกว่า”บ้านเจ้ามีคนดีๆบ่อฮุ้กจักไซ่ เอามาหื้อข้อยเน้” (แปลว่า ประเทศของคุณมีคนดีๆไม่รู้จักใช้งาน เอามาให้ประเทศลาวของฉันเถอะ)
หลังจากทำเอกสารผ่านแดน พวกเราจูงจักรยานข้ามด่านเข้าเขตประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามแต่งกายเรียบร้อยกว่าฝั่งลาว พวกเขาไม่ค่อยสนใจคนเสื้อแดงเป็นพิเศษเหมือนคนลาว แต่สนใจจักรยานทัวริ่งของนักปั่นมากกว่า พวกเราแลกเงินดอลลาร์ติดตัวจำนวนหนึ่งและเริ่มเดินทางต่อไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามด่านและถ่ายคลิปวีดีโอการปั่นจักรยานของผู้การผดุงและรอ.ปรีชาจากด้านหลัง อากาศหนาวจนมือและปากสั่น เป้าหมายของวันนั้นต้องรีบลงเขาก่อนพลบค่ำและหาที่พักให้เร็วที่สุด
เมื่อออกพ้นบริเวณด่านการปั่นจักรยานก็เริ่มประสพปัญหาเนื่องจากเป็นทางลงเขาที่สูงชันประกอบกับหมอกลงจัดไม่สามารถมองได้ไกลเกินกว่า 20 เมตร ผมพยายามปั่นนำไปข้างหน้าและตะโกนบอกสมาชิกให้รักษาความเร็ว พยายามแตะเบรกเพื่อผ่อนความเร็วเป็นระยะ รักษาระยะห่างอย่างน้อย 5 เมตรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จักรยานทุกคันพุ่งลงเขาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 30-35 กม./ชม.ซึ่งนับว่าเร็วมากสำหรับจักรยาน ลมพัดผ่านหูดังอื้ออึงไปหมด
พวกเราปล่อยจักรยานไหลลงเขาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่า 40 นาทีก็พบอุปสรรคที่คาดไม่ถึง เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูงที่หมอกลงจัด ทำให้พระอาทิตย์ลับเร็วกว่ากำหนด แสงสว่างเริ่มจางหายลงไปทุกที ในขณะที่หมอกยังลงจัดทำให้การบังคับจักรยานอันตรายมาก เมื่อถึงที่ราบพอจะหยุดรถได้ผมได้ตะโกนให้ทุกคันหยุดรถ สวมเครื่องป้องกันหนาวเพิ่มขึ้น เปิดไฟหน้าและไฟท้ายทุกคันเพื่อความปลอดภัย สำหรับผมต้องขอยืมไฟส่องสว่างจากรอ.ปรีชามาถือด้วยมือซ้ายเพื่อที่จะส่องไปให้เห็นด้านหน้า ด้านข้าง เพื่อนำทางตลอดระยะทางที่เหลือ
ผมได้ปั่นจักรยาน (หรือจะเรียกให้ถูกคือ ’ปล่อยจักรยานลงเขา’) นำหน้าทุกคนพร้อมกับบอกตะโกนบอกสภาพถนนเป็นระยะ บางขณะเป็นโค้งแทบจะหักศอก แสงอาทิตย์ริบหรี่ลงทุกทีๆ เป็นเช่นนี้อยู่เกือบ 15 นาทีจึงได้ถึงตีนเขา โชคดีที่สุดที่ผมตาไวเห็นป้ายรีสอร์ทบริเวณนั้นจึงได้พาขบวนปั่นจักรยานข้ามประเทศเลี้ยวเข้าไป สภาพรีสอร์ทกว้างขวางแต่ค่อนข้างเก่าคำนวณอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปี พวกเราแวะพักที่นี่หนึ่งคืนทานอาหารภายในรีสอร์ท
คืนนั้นนักปั่นบางคนซื้อวิสกี้คล้ายๆเหล้าจีนดองยา 1 ขวดแบ่งกันทานแก้หนาว ระหว่างรับประหารอาหารพวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานถึงประสบการณ์ที่แสนจะตื่นเต้นที่ได้รับ ผมคิดว่าพวกเราโชคดีมากที่ไม่มีใครประสพอุบัติเหตุในการปั่นจักรยานลงเขาที่สูงชันเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม
16.30 น. ผู้การผดุงและรอ.ปรีชาขณะปั่นจักรยานลงเขา
พวกเราถึงด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นประเทศลาวและเวียดนามในเวลาบ่าย 4 โมง อากาศหนาวเย็นและหมอกลงจัด ขณะที่พวกเราไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของลาวหลายคนมาพูดคุยด้วยความสนใจ พวกเขารู้เรื่องแทบจะทุกอย่างของไทยเนื่องจากดูทีวีของไทยผ่านจานดาวเทียม พวกเขารู้เรื่องการเมืองของไทยดีมาก พวกเขาชอบคนเสื้อแดงและคุณทักษิณ พวกเขาบอกว่า”บ้านเจ้ามีคนดีๆบ่อฮุ้กจักไซ่ เอามาหื้อข้อยเน้” (แปลว่า ประเทศของคุณมีคนดีๆไม่รู้จักใช้งาน เอามาให้ประเทศลาวของฉันเถอะ)
หลังจากทำเอกสารผ่านแดน พวกเราจูงจักรยานข้ามด่านเข้าเขตประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามแต่งกายเรียบร้อยกว่าฝั่งลาว พวกเขาไม่ค่อยสนใจคนเสื้อแดงเป็นพิเศษเหมือนคนลาว แต่สนใจจักรยานทัวริ่งของนักปั่นมากกว่า พวกเราแลกเงินดอลลาร์ติดตัวจำนวนหนึ่งและเริ่มเดินทางต่อไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ข้ามด่านและถ่ายคลิปวีดีโอการปั่นจักรยานของผู้การผดุงและรอ.ปรีชาจากด้านหลัง อากาศหนาวจนมือและปากสั่น เป้าหมายของวันนั้นต้องรีบลงเขาก่อนพลบค่ำและหาที่พักให้เร็วที่สุด
เมื่อออกพ้นบริเวณด่านการปั่นจักรยานก็เริ่มประสพปัญหาเนื่องจากเป็นทางลงเขาที่สูงชันประกอบกับหมอกลงจัดไม่สามารถมองได้ไกลเกินกว่า 20 เมตร ผมพยายามปั่นนำไปข้างหน้าและตะโกนบอกสมาชิกให้รักษาความเร็ว พยายามแตะเบรกเพื่อผ่อนความเร็วเป็นระยะ รักษาระยะห่างอย่างน้อย 5 เมตรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จักรยานทุกคันพุ่งลงเขาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 30-35 กม./ชม.ซึ่งนับว่าเร็วมากสำหรับจักรยาน ลมพัดผ่านหูดังอื้ออึงไปหมด
พวกเราปล่อยจักรยานไหลลงเขาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่า 40 นาทีก็พบอุปสรรคที่คาดไม่ถึง เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูงที่หมอกลงจัด ทำให้พระอาทิตย์ลับเร็วกว่ากำหนด แสงสว่างเริ่มจางหายลงไปทุกที ในขณะที่หมอกยังลงจัดทำให้การบังคับจักรยานอันตรายมาก เมื่อถึงที่ราบพอจะหยุดรถได้ผมได้ตะโกนให้ทุกคันหยุดรถ สวมเครื่องป้องกันหนาวเพิ่มขึ้น เปิดไฟหน้าและไฟท้ายทุกคันเพื่อความปลอดภัย สำหรับผมต้องขอยืมไฟส่องสว่างจากรอ.ปรีชามาถือด้วยมือซ้ายเพื่อที่จะส่องไปให้เห็นด้านหน้า ด้านข้าง เพื่อนำทางตลอดระยะทางที่เหลือ
ผมได้ปั่นจักรยาน (หรือจะเรียกให้ถูกคือ ’ปล่อยจักรยานลงเขา’) นำหน้าทุกคนพร้อมกับบอกตะโกนบอกสภาพถนนเป็นระยะ บางขณะเป็นโค้งแทบจะหักศอก แสงอาทิตย์ริบหรี่ลงทุกทีๆ เป็นเช่นนี้อยู่เกือบ 15 นาทีจึงได้ถึงตีนเขา โชคดีที่สุดที่ผมตาไวเห็นป้ายรีสอร์ทบริเวณนั้นจึงได้พาขบวนปั่นจักรยานข้ามประเทศเลี้ยวเข้าไป สภาพรีสอร์ทกว้างขวางแต่ค่อนข้างเก่าคำนวณอายุไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ปี พวกเราแวะพักที่นี่หนึ่งคืนทานอาหารภายในรีสอร์ท
คืนนั้นนักปั่นบางคนซื้อวิสกี้คล้ายๆเหล้าจีนดองยา 1 ขวดแบ่งกันทานแก้หนาว ระหว่างรับประหารอาหารพวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานถึงประสบการณ์ที่แสนจะตื่นเต้นที่ได้รับ ผมคิดว่าพวกเราโชคดีมากที่ไม่มีใครประสพอุบัติเหตุในการปั่นจักรยานลงเขาที่สูงชันเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น