17. ขึ้นด่านน้ำพาว ปั่นจักรยานบนยอดเขาสูงเสียดฟ้า
เช้าวันถัดมาพวกเราตื่นมาท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้านชาวข่าบนเทือกเขาแห่งนั้น พวกเราเห็นอย่างเต็มตาว่าหมู่บ้านที่พวกเราเดินทางมาถึงค่ำวานเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนยอดเขา เป็นหมู่บ้านเล็กๆมีบ้านเรือนไม่ถึง 20 หลัง เด็กเล็กๆวิ่งมามุงดุคนแปลกหน้าที่ใส่เสื้อแดงสิบกว่าคนปั่นจักรยานมาจากเมืองไทยด้วยความตื่นเต้น ก่อนออกเดินทาง ผู้การผดุงมอบเงินให้กับนายบ้านเวียงจำนวน 300 บาทเพื่อตอบแทนน้ำใจ
หลังจากกลั้วคอด้วยน้ำดื่มพวกเราได้ออกปั่นจักรยานมุ่งหน้าเมืองหลักซาว ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเล็กๆหลายแห่ง สภาพถนนดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งได้แวะถ่ายรูปกับชาวเขาที่ตั้งบ้านเรือนสองข้างทาง คนเฒ่าคนแก่ยังแต่งตัวแบบโบราณ คนหนุ่มสาวแต่งกายแบบสมัยนิยม หญิงสาวชาวลาวมีรอยยิ้มที่สดใส ผู้เฒ่าผู้แก่มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร
บางครั้งเมื่อผ่านหมู่บ้านเล็กๆพวกเราจอดแวะพัก ทักทายกับเด็กๆชาวลาวที่มุงดูนักปั่นเสื้อแดงด้วยความสนใจ เด็กๆชาวลาวพูดภาษาลาวคล้ายๆภาษาไทยเหนือปนกับภาษาอีสาน ฟังเข้าใจกว่า 90% ผมแวะเก็บภาพน่ารักๆเหล่านี้ไว้เพื่อเผยแพร่ในอนาคต ภาพเหล่านี้จะแสดงให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าคนเสื้อแดงได้เผยแพร่ประชาธิปไตยอย่างไร
ช่วงบ่ายพวกเราผ่านเมืองหลักซาวและปั่นจักรยานไต่ขึ้นเขาเรื่อยๆมุ่งหน้าด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นด่านข้ามพรมแดนลาว-เวียดนาม ภูเขาสูงชันขึ้นเรื่อยๆและอากาศก็ลดต่ำลงเช่นกัน พวกเราปั่นจักรยานไปบนถนนบนภูเขาที่แทบจะไม่มีรถผ่านไปมา อากาศหนาวจนต้องใส่ปลอกแขนกันหนาวขณะปั่นจักรยาน ลุงปรีชาและคุณชัชชัยต้องใส่เสื้อกันฝนปั่นจักรยานเพื่อป้องกันละอองน้ำ ข้อดีของอากาศหนาวคือทำให้ไม่ค่อยเหนื่อยช้า อารมณ์สดชื่น
ตั้งแต่ปั่นจักรยานเพื่อประชาธิปไตยผมไม่เคยรู้สึกสดชื่นเช่นนี้มาก่อน ผมถ่ายคลิปและนึกทบทวนในสิ่งที่ผมทำเพื่อประชาธิปไตยมาตลอดเกือบ 3 ปี ผมบอกกับตัวเองว่ามันคุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาในชีวิตหนึ่ง ขณะปั่นจักรยานผมสังเกตว่าบ้านของชาวบ้านที่นี่จะมีฟืนกองไว้นอกบ้าน นั่นพอจะคาดเดาได้ถึงอุณหภูมิยามค่ำคืน เป้าหมายของพวกเราในวันนี้คือจะต้องข้ามด่านน้ำพาวไปให้ได้
สองชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะถึงด่านน้ำพาวอากาศลดต่ำลงมาก และมีลมแรงจัด ต้องจอดพักเหนื่อยบ่อยขึ้นเพราะออกซิเจนเริ่มลดลง ขณะที่พักเหนื่อยจะเห็นละอองน้ำเคลื่อนตัวผ่านศีรษะสูงขึ้นไปไม่กี่เมตร นั่นคือละอองน้ำจากเมฆหากมองจากด้านล่าง
ใครคนหนึ่งของพวกเราพูดว่า “เส้นทางสีแดงกำลังปั่นจักรยานอยู่บนฟ้า ผ่านก้อนเมฆบนยอดเขา คงไม่มีใครอีกแล้วที่เผยแพร่ประชาธิปไตยได้ไกลขนาดนี้”
เช้าวันถัดมาพวกเราตื่นมาท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้านชาวข่าบนเทือกเขาแห่งนั้น พวกเราเห็นอย่างเต็มตาว่าหมู่บ้านที่พวกเราเดินทางมาถึงค่ำวานเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนยอดเขา เป็นหมู่บ้านเล็กๆมีบ้านเรือนไม่ถึง 20 หลัง เด็กเล็กๆวิ่งมามุงดุคนแปลกหน้าที่ใส่เสื้อแดงสิบกว่าคนปั่นจักรยานมาจากเมืองไทยด้วยความตื่นเต้น ก่อนออกเดินทาง ผู้การผดุงมอบเงินให้กับนายบ้านเวียงจำนวน 300 บาทเพื่อตอบแทนน้ำใจ
หลังจากกลั้วคอด้วยน้ำดื่มพวกเราได้ออกปั่นจักรยานมุ่งหน้าเมืองหลักซาว ผ่านหมู่บ้านชาวเขาเล็กๆหลายแห่ง สภาพถนนดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งได้แวะถ่ายรูปกับชาวเขาที่ตั้งบ้านเรือนสองข้างทาง คนเฒ่าคนแก่ยังแต่งตัวแบบโบราณ คนหนุ่มสาวแต่งกายแบบสมัยนิยม หญิงสาวชาวลาวมีรอยยิ้มที่สดใส ผู้เฒ่าผู้แก่มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร
บางครั้งเมื่อผ่านหมู่บ้านเล็กๆพวกเราจอดแวะพัก ทักทายกับเด็กๆชาวลาวที่มุงดูนักปั่นเสื้อแดงด้วยความสนใจ เด็กๆชาวลาวพูดภาษาลาวคล้ายๆภาษาไทยเหนือปนกับภาษาอีสาน ฟังเข้าใจกว่า 90% ผมแวะเก็บภาพน่ารักๆเหล่านี้ไว้เพื่อเผยแพร่ในอนาคต ภาพเหล่านี้จะแสดงให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าคนเสื้อแดงได้เผยแพร่ประชาธิปไตยอย่างไร
ช่วงบ่ายพวกเราผ่านเมืองหลักซาวและปั่นจักรยานไต่ขึ้นเขาเรื่อยๆมุ่งหน้าด่านน้ำพาว (Nampao Border) ซึ่งเป็นด่านข้ามพรมแดนลาว-เวียดนาม ภูเขาสูงชันขึ้นเรื่อยๆและอากาศก็ลดต่ำลงเช่นกัน พวกเราปั่นจักรยานไปบนถนนบนภูเขาที่แทบจะไม่มีรถผ่านไปมา อากาศหนาวจนต้องใส่ปลอกแขนกันหนาวขณะปั่นจักรยาน ลุงปรีชาและคุณชัชชัยต้องใส่เสื้อกันฝนปั่นจักรยานเพื่อป้องกันละอองน้ำ ข้อดีของอากาศหนาวคือทำให้ไม่ค่อยเหนื่อยช้า อารมณ์สดชื่น
ตั้งแต่ปั่นจักรยานเพื่อประชาธิปไตยผมไม่เคยรู้สึกสดชื่นเช่นนี้มาก่อน ผมถ่ายคลิปและนึกทบทวนในสิ่งที่ผมทำเพื่อประชาธิปไตยมาตลอดเกือบ 3 ปี ผมบอกกับตัวเองว่ามันคุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาในชีวิตหนึ่ง ขณะปั่นจักรยานผมสังเกตว่าบ้านของชาวบ้านที่นี่จะมีฟืนกองไว้นอกบ้าน นั่นพอจะคาดเดาได้ถึงอุณหภูมิยามค่ำคืน เป้าหมายของพวกเราในวันนี้คือจะต้องข้ามด่านน้ำพาวไปให้ได้
สองชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะถึงด่านน้ำพาวอากาศลดต่ำลงมาก และมีลมแรงจัด ต้องจอดพักเหนื่อยบ่อยขึ้นเพราะออกซิเจนเริ่มลดลง ขณะที่พักเหนื่อยจะเห็นละอองน้ำเคลื่อนตัวผ่านศีรษะสูงขึ้นไปไม่กี่เมตร นั่นคือละอองน้ำจากเมฆหากมองจากด้านล่าง
ใครคนหนึ่งของพวกเราพูดว่า “เส้นทางสีแดงกำลังปั่นจักรยานอยู่บนฟ้า ผ่านก้อนเมฆบนยอดเขา คงไม่มีใครอีกแล้วที่เผยแพร่ประชาธิปไตยได้ไกลขนาดนี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น