15. เข้าลาววันแรก ผ่านเขื่อนน้ำเทิน
อาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2555 พวกเราเดินทางออกจากหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนามบ้านนาจอก มุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 เพื่อเตรียมตัวข้ามสู่สปป.ลาว มีคุณสุวิทย์และเสธดำตามมาส่ง ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองมารอต้อนรับตามหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานงานมา เจ้าหน้าที่หลายคนได้ร่วมบริจาคสมทบกิจกรรมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หลังจากทำเอกสารผ่านแดนและตรวจหนังสือเดินทาง พวกเราก็ปั่นจักรยานขึ้นสะพานแห่งนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือล้น จนถึงขณะนี้ นักปั่นเส้นทางสีแดงได้ปั่นจักรยานผ่านภาคตะวันออกและภาคอีสานกว่าสองพันกิโล ใช้เวลาทำกิจกรรมทั้งสิ้น 21 วัน
พวกเราโบกมืออำลาคุณสุวิทย์และเสธดำที่ตามมาส่งจากกรุงเทพด้วยความอาลัย ใจหายเล็กน้อยที่ต้องจากประเทศไทยชั่วคราว พวกเราได้เริ่มออกปั่นจักรยานข้ามสะพานจนถึงฝั่งลาว บรรยากาศการปั่นบนสะพานนข้ามแม่น้ำโขงน่าตื่นตาตื่นใจมาก หลังจากเข้าเขตสปป.ลาว พวกเราเริ่มปั่นเลาะแม่น้ำโขงเข้าสู่เมืองท่าแขก ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามมาก มีภูเขาสูงๆต่ำๆคล้ายกับเมืองกุ้ยหลิน มณฑลคุนหมิงของประเทศจีน หลังจากนั้นได้ผ่านตลาดชาวบ้านที่ขายของป่า พวกเราได้แวะพักเหนื่อยที่นี่ คุณสมานและอาจารย์พินิจได้ซื้อเหล้าป่า 2 ขวด ผมซื้อน้ำผึ้งป่าหนึ่งขวดราคา 100 บาทไว้เป็นเสบียง
ช่วงบ่ายได้เจอกับคนไทยที่ขับรถกระบะตามมาและตะโกนถามว่าใช่กลุ่มเส้นทางสีแดงหรือไม่ พวกเราตอบว่าใช่จากนั้นได้หยุดรถสนทนากัน พวกเขาบอกว่าเป็นคนไทยที่ทำธุรกิจป่าไม้ที่ลาว หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมทางเฟซบุ้ค พวกเขาเลี้ยงน้ำดื่มข้างทางและร่วมบริจาคสมทบกิจกรรมจำนวน 2,000 บาท และได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก
หลังจากนั้นพวกเราได้ปั่นจักรยานมุ่งหน้าต่อไปเมืองบ้านสามแยก แขวงคำม่วน เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเขื่อนน้ำเทินที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าของลาว ที่นี่ทัศนียภาพสวยงามมากพวกเราแวะพักเหนื่อยและถ่ายภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึก
ช่วงเย็นพวกเราถึงเมืองบ้านสามแยกแวะพักที่รีสอร์ทเล็กๆแห่งหนึ่ง ราคาห้องพักพัดลม 200 บาท/คืนพักได้ 2 คน ห้องแอร์ 350 บาทพักได้ 3 คน พวกเราเปิดห้องพักแบบธรรมดา 4 ห้อง ห้องแอร์ 2 ห้อง ผู้การผดุงมีอาการไข้จึงต้องพักเดี่ยว ส่วนผมพักห้องแอร์ร่วมกับรอ.ปรีชาและลุงคะนึง แวะทานอาหารร้านที่อยู่ไม่ไกล ชาวบ้านที่นี่พูดภาษาลาวสามารถสื่อสารกันได้ เนื่องจากสมาชิกหลายคนเป็นชาวอีสาน และผมซึ่งเป็นคนเหนือก็ฟังภาษาลาวรู้เรื่อง (ภาษาลาวนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างภาษาอีสานและภาษาเหนือ)
อากาศกลางคืนหนาวเหน็บ ผมนำน้ำผึ้งป่ามาผสมกับเหล้าป่า 2 ขวดที่พวกเราแวะซื้อกลางทาง เขย่าให้เข้ากัน ผลัดกันดื่มแก้หนาวคนละ 2-3 อึก แอลกอฮอล์แรงชนิดที่ต้องหลับตากิน รสชาติเหล้าป่ากับน้ำผึ้งหลวงใครที่เคยชิมคงรู้ดีว่าแรงขนาดไหน แต่ก็ช่วยมากในเรื่องคลายความหนาวเย็นและบรรเทาอากาศเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี คืนนั้นพวกเราหลับกันสนิทบนผืนแผ่นดินของสปป.ลาว
อาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2555 พวกเราเดินทางออกจากหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนามบ้านนาจอก มุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 เพื่อเตรียมตัวข้ามสู่สปป.ลาว มีคุณสุวิทย์และเสธดำตามมาส่ง ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองมารอต้อนรับตามหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานงานมา เจ้าหน้าที่หลายคนได้ร่วมบริจาคสมทบกิจกรรมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หลังจากทำเอกสารผ่านแดนและตรวจหนังสือเดินทาง พวกเราก็ปั่นจักรยานขึ้นสะพานแห่งนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือล้น จนถึงขณะนี้ นักปั่นเส้นทางสีแดงได้ปั่นจักรยานผ่านภาคตะวันออกและภาคอีสานกว่าสองพันกิโล ใช้เวลาทำกิจกรรมทั้งสิ้น 21 วัน
พวกเราโบกมืออำลาคุณสุวิทย์และเสธดำที่ตามมาส่งจากกรุงเทพด้วยความอาลัย ใจหายเล็กน้อยที่ต้องจากประเทศไทยชั่วคราว พวกเราได้เริ่มออกปั่นจักรยานข้ามสะพานจนถึงฝั่งลาว บรรยากาศการปั่นบนสะพานนข้ามแม่น้ำโขงน่าตื่นตาตื่นใจมาก หลังจากเข้าเขตสปป.ลาว พวกเราเริ่มปั่นเลาะแม่น้ำโขงเข้าสู่เมืองท่าแขก ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามมาก มีภูเขาสูงๆต่ำๆคล้ายกับเมืองกุ้ยหลิน มณฑลคุนหมิงของประเทศจีน หลังจากนั้นได้ผ่านตลาดชาวบ้านที่ขายของป่า พวกเราได้แวะพักเหนื่อยที่นี่ คุณสมานและอาจารย์พินิจได้ซื้อเหล้าป่า 2 ขวด ผมซื้อน้ำผึ้งป่าหนึ่งขวดราคา 100 บาทไว้เป็นเสบียง
ช่วงบ่ายได้เจอกับคนไทยที่ขับรถกระบะตามมาและตะโกนถามว่าใช่กลุ่มเส้นทางสีแดงหรือไม่ พวกเราตอบว่าใช่จากนั้นได้หยุดรถสนทนากัน พวกเขาบอกว่าเป็นคนไทยที่ทำธุรกิจป่าไม้ที่ลาว หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมทางเฟซบุ้ค พวกเขาเลี้ยงน้ำดื่มข้างทางและร่วมบริจาคสมทบกิจกรรมจำนวน 2,000 บาท และได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก
หลังจากนั้นพวกเราได้ปั่นจักรยานมุ่งหน้าต่อไปเมืองบ้านสามแยก แขวงคำม่วน เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเขื่อนน้ำเทินที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าของลาว ที่นี่ทัศนียภาพสวยงามมากพวกเราแวะพักเหนื่อยและถ่ายภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึก
ช่วงเย็นพวกเราถึงเมืองบ้านสามแยกแวะพักที่รีสอร์ทเล็กๆแห่งหนึ่ง ราคาห้องพักพัดลม 200 บาท/คืนพักได้ 2 คน ห้องแอร์ 350 บาทพักได้ 3 คน พวกเราเปิดห้องพักแบบธรรมดา 4 ห้อง ห้องแอร์ 2 ห้อง ผู้การผดุงมีอาการไข้จึงต้องพักเดี่ยว ส่วนผมพักห้องแอร์ร่วมกับรอ.ปรีชาและลุงคะนึง แวะทานอาหารร้านที่อยู่ไม่ไกล ชาวบ้านที่นี่พูดภาษาลาวสามารถสื่อสารกันได้ เนื่องจากสมาชิกหลายคนเป็นชาวอีสาน และผมซึ่งเป็นคนเหนือก็ฟังภาษาลาวรู้เรื่อง (ภาษาลาวนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างภาษาอีสานและภาษาเหนือ)
อากาศกลางคืนหนาวเหน็บ ผมนำน้ำผึ้งป่ามาผสมกับเหล้าป่า 2 ขวดที่พวกเราแวะซื้อกลางทาง เขย่าให้เข้ากัน ผลัดกันดื่มแก้หนาวคนละ 2-3 อึก แอลกอฮอล์แรงชนิดที่ต้องหลับตากิน รสชาติเหล้าป่ากับน้ำผึ้งหลวงใครที่เคยชิมคงรู้ดีว่าแรงขนาดไหน แต่ก็ช่วยมากในเรื่องคลายความหนาวเย็นและบรรเทาอากาศเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี คืนนั้นพวกเราหลับกันสนิทบนผืนแผ่นดินของสปป.ลาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น