วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

No Fear



ประชาสัมพันธ์♥♥ ท่านใดต้องการเสื้อ No Fear เป็นที่ระลึก มี 4 สี ดำ น้ำตาล เขียวขี้ม้า เทา ไซส์ S M L XL XXL เนื้อผ้าชั้นเยี่ยม ตัวละ 250 บาท กรุณาแจ้งที่กระทู้ หรือโอนเงินธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัยพ์ 402-426503-4 อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ผมจะส่งให้ฟรีทั่วประเทศ



*
♥♥ ˚ ˚✰˚การสนับสนุนเสื้อกิจกรรม  เสื้อ No Fear เส้นทางสีแดง จะทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมต่อไป...* ♥♥ ˚ ˚✰˚







ลมหนาวเริ่มพัดมาแล้ว ตลอดเวลาหลายปีเมื่อถึงหน้าหนาว ผมจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อเยี่ยมพี่น้องเสื้อแดงในชนบทเพื่อให้กำลังใจ นำความช่วยเหลือมอบให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม มอบทุนการศึกษาให้เด็กๆ ผมต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างประชาธิปไตยที่ต้องใช้ความอดทน เสียสละ และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
การสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องปลูกฝังนับชั่วอายุคน


Back to the Front Page/กลับไปหน้าแรก

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผมอยากเข้าพรรคเพื่อไทยทำงานด้านมวลชนพัฒนาประชาธิปไตย


ณ.ที่ใด ดวงใจไม่เคยหวั่น จะฝ่าฟันอุปสรรคและขวากหนาม
ประชาธิปไตยไม่เกินเอื้อมพยายาม ฝากชื่อนามให้โลกรู้ .. "กูเสื้อแดง



ผมอยากเข้าพรรคเพื่อไทยทำงานด้า
นมวลชนพัฒนาประชาธิปไตย ขืนทำกิจกรรมด้วยเงินตัวเองต่อไปมีหวังล่มจม ผู้เกี่ยวข้องกรุณาแนะนำ

ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร

ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เคลื่อนไหวต้านรัฐประหารแม้จะถูกดำเนินคดี ผมสามารถบอกกับลูกๆได้เต็มปากว่าพ่อได้ปกป้องประชาธิปไตยเพื่อลูกๆของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ถ่ายพร้อมกับบันทึกแจ้งการดำเนินคดีจากศาลทหาร มีผู้คุมเรือนจำมารอรับตัว ได้รับการปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเวลา 21.00 น.

จดหมายร้องขอความเป็นธรรม


พรุ่งนี้ 31 กค. 9.00 น. ผมต้องไปศาลทหารเนื่องจากเป็นกำหนดส่งฟ้อง ซึ่งจะรู้ว่าถูกฟ้องหรือไม่ ข้อหาใด ผมขอเปิดจดหมายร้องขอความเป็นธรรมที่ได้ทำถึงตุลาการศาลทหารให้สังคมได้ทราบ เนื้อหาดังต่อไปนี้


(จดหมายร้องขอความเป็นธรรม)

เรียน ตุลาการศาลทหาร

ตามที่ข้าพเจ้าได้ถูกจับกุมจากบ้านพักเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2557 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าร่วมชุมนุมคัดค้านคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่บริเวณหอศิลป์ นั้น ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องขอความเป็นธรรมในการพิจารณาในการตั้งข้อหากับข้าพเจ้าด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงดังนี้

ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นนักธุรกิจ และเป็นอดีตอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย หลายปีมานี้ข้าพเจ้าเป็นนักกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมและประชาธิปไตย กิจกรรมที่ข้าพเจ้าทำมีชื่อว่ากิจกรรมเส้นทางสีแดงซึ่งเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานทางไกลไปยังชนบทในภูมิภาคต่างๆ นำเงินและสิ่งของบริจาคไปมอบให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในปี 2553 ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปี 2554 ผู้ร่วมกิจกรรมเส้นทางสีแดงมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ครู และประชาชนทั่วไปวัยเกษียน ข้าพเจ้าได้เผยแพร่กิจกรรมบนเฟซบุ้คของใช้ชื่อ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” กิจกรรมนี้มิได้เคยสร้างความขัดแย้งในสังคม ตรงกันข้าม กิจกรรมเส้นทางสีแดงเป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าเป็นกิจกรรมที่แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เมตตาธรรมและสันติวิธี ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาโดยตลอด

ในวันดังกล่าวข้าพเจ้าได้เดินทางไปโดยลำพังโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้ามาบุญครองที่อยู่ไกล้กับหอศิลป์โดยลงที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ระหว่างที่เดินเข้าศูนย์การค้ามาบุญครองข้าพเจ้าพบเห็นทหารยืนรักษาการณ์ประจันหน้ากับประชาชนที่ตะโกนส่งเสียงดัง มีสื่อมวลชนถ่ายภาพจำนวนมาก ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปดูเหตุการณ์พบเห็นหญิงชราคนหนึ่งชูป้ายใส่ทหารและตะโกนเสียงดัง เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจผิดว่าประชาชนกำลังถูกทำร้าย จึงได้เอาตัวเข้าไปขวางระหว่างหญิงผู้นั้นและทหาร พร้อมกับตะโกนบอกทหารว่า “จับเลยๆ” ซึ่งหมายถึงให้จับข้าพเจ้าแทนหญิงคนนั้น

ในขณะนั้นข้าพเจ้าอยู่ในอาการตกใจและสับสน ประกอบกับเสียใจที่มีการทำรัฐประหารจึงได้แสดงออกด้วยอารมณ์โกธรซึ่งเป็นอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อได้สติจึงได้เดินออกมาจากบริเวณนั้น และเข้าไปเดินในศูนย์การค้าขากลับได้เดินกลับไปที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับกล่าวคำขอโทษว่า “น้อง เมื่อกี้พี่พูดรุนแรงเกินไป พี่ขอโทษ” ขณะนั้นมีทหารอยู่ในเหตุการณ์หลายคนเป็นพยาน ซึ่งต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าถูกควบคุมตัวมาที่กรมทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ทหารที่สอบปากคำข้าพเจ้า 2 นายก็เป็นทหารกลุ่มเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้กล่าวคำขอโทษ สามารถเป็นพยานในเหตุการณ์นี้ได้

ในขณะที่ข้าพเจ้าถูกสอบปากคำนั้น ข้าพเจ้าถูกสอบถามถึงความเกี่ยวข้องกับกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) การเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ก่อความรุนแรง หรือการกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่? ข้าพเจ้าได้ชี้แจงว่าข้าพเจ้าดำเนินกิจกรรมโดยอิสระ มิได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มนปช. ข้าพเจ้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงใดๆ และข้าพเจ้าได้โพสข้อความเทิดทูนพระมหากษัตริย์ตลอดมา โดยเฉพาะพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ซึ่งข้าพเจ้าได้โพสบ่อยครั้งเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงได้เคยปั่นจักรยานจากกรุงเทพไปถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวลเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2557 ข้าพเจ้ายังได้เคยปั่นจักรยานไปภาคเหนือ ภาคกลาง พม่า ลาว และประเทศจีน รวมเป็นระยะทางกว่า 4,000 กม. โดยเรียกร้องให้ความปรองดองและสมานฉันทน์ของสังคมไทยและเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ข้าพเจ้ายินดีที่จะนำหลักฐานในการทำกิจกรรมดังกล่าวแสดงต่อนายทหารพระธรรมนูญตลอดเวลา

อนึ่ง เอกสารที่ทหารที่มาดำเนินการจับกุมข้าพเจ้ามีข้อมูลหลายอย่างที่เป็นการใส่ความหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เช่น กล่าวหาว่าข้าพเจ้าไปขึ้นเวทีที่ขอนแก่นเพื่อปลุกระดมให้คนออกมาต่อต้านรัฐประหาร ทั้งที่ข้าพเจ้ามิได้เดินทางไปที่ขอนแก่นเลยหลังรัฐประหาร และภาพที่นำมาประกอบก็เป็นภาพตั้งแต่ปี 2555 นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าข้าพเจ้าถ่ายรูปกับนายจักรภพ เพ็ญแขที่กัมพูชา แต่ภาพประกอบกลับเป็นภาพที่ข้าพเจ้ายืนถ่ายรูปกับเด็กหญิงอายุ 5-6 ขวบที่บริเวณอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น เรื่องดังกล่าวข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจผิดและมิได้บอกกล่าวกับบุคคลใดให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อทหารที่มาดำเนินการจับกุม

ในยามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ต้องการนำสันติสุข เสริมสร้างความสามัคคีและปรองดองของคนในชาติ ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับนักกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมที่ได้อุทิศตนทำในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ และขอได้โปรดยุติการดำเนินคดีกับข้าพเจ้า จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ (ผู้ร้องเรียน)
18 กรกฏาคม 2557

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

จดหมายจากเส้นทางสีแดงถึงเพื่อนใน มูลนิธิ ฟรีดริค เอ แบร์ท


26 December 2011 at 11.36

จดหมายนี้ผมถึงเขียนเพื่อนชาวไทยคนหนึ่งที่ทำงานอยู่มูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่งชื่อ มูลนิธิ ฟรีดริค เอ แบร์ท ผมได้พบกับเธอคนนี้ในงานเสวนาที่จัดโดยศูนย์สันติวิธี มหาวิทยาลัยมหดิล เห็นว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจ จึงขอนำมาไว้ในบันทึกเฟซบุ้ค ดังนี้ :

คนเสื้อแดงรู้สึกเจ็บปวดกับผลของรัฐประหาร 19 กย.2549 อย่างมาก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการได้มีโอกาสเลือกตั้งผู้นำของเขาเอง ในวันที่ 12 มีค.2554 พวกเขาเดินทางเข้ามาจากทั่วประเทศนับแสนคนเพื่อมาชุมนุมให้รัฐบาลที่พวกเขาไม่เลือกยุบสภาเพียงเพื่อจะได้มีโอกาสเลือกตั้งใหม่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือการใส่ร้ายป้ายสีจากรัฐบาลเผด็จการกล่าวหาว่าพวกเขารับเงินมาชุมนุม กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นคนซ่องสุมอาวุธและทำร้ายผู้คน ในขณะที่ข้อเท็จจริงที่ผมได้รับตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการได้กล่าวหา เหตุการณ์การสังหารหมู่ (Massacre) ในวันที่ 10 เมย.และ 19 พค. ได้สร้างความเจ็บแค้นให้กับพวกเขาอย่างมาก คนเสื้อแดงนับหมื่นๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งผ่านความทรงจำและภาพจากกล้องของพวกเขา หลังเหตุการณ์ 19 พค.คนเสื้อแดงถูกปราบปรามอย่างโหดร้าย และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงที่สุดในประเทศไทย ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกจับกุมคุมขังและไม่ได้รับสิทธิ์ในการประกันตัว คนเสื้อแดงจำนวนมากถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เจตนาของผู้ปกครองมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ เพื่อให้เกิดความหวดกลัวในหมู่ประชาชนเพื่อมิให้ลุกขึ้นมาทวงสิทธิขั้นพื้นฐานของเขาในฐานะเสรีชน การปราบปรามอย่างทารุณในปีนี้แม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ประวัติศาสตร์ 14 ตค. 2516 และ 6 ตค.2519 และ 14-17 พค.2537 ได้บอกกับสังคมไทยและโลกเช่นนั้น

กิจกรรมเส้นทางสีแดงได้ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคที่มืดมืดที่สุดของการเมืองไทย (ด้วยแรงบันดาลใจของคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ซึ่งนำพวกเรานับพันคนกลับไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพี่น้องร่วมอุดมการณ์ของเราถูกสังหาร) กิจกรรมนี้มีเจตนาหลักเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการปลุกใจให้คนไทยในต่างจังหวัดและชนบทได้ลุกขึ้นมาเพื่อสู้กับทรราชย์ผู้กดขี่ ข้อจำกัดของการทำกิจกรรมนี้คือการทำกิจกรรมในภาวะที่บ้านเมืองถูกปกครองด้วยกฏหมายเผด็จการ เช่น พรก.ฉุกเฉิน (Emergency Decree) ซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้าม และการทำกิจกรรมถูกจับตาอย่างไกล้ชิดโดยทหารและสันติบาล ผมจึงได้ออกแบบกิจกรรมให้เป็นการปั่นจักรยานทางไกลเพื่อไปเยี่ยมเยือนผู้ได้รับผลกระทบในภาคอีสานซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผู้สูญเสียมากที่สุด การปั่นจักรยานไม่ใช่เรื่องผิดกฏหมายไม่ว่าจะอยู่ในสถาการณ์ใด และการเดินทางด้วยการปั่นจักรยานทางไกลหลายๆพันกิโลเป็นเครื่องพิสูจน์เจตนาและความมุ่งมั่นของผู้ทำกิจกรรม การเยี่ยมเยียนผู้ได้รับผลกระทบและการมอบเงินบริจาคให้แก่ผู้สูญเสียเปรียบเสมือนความรักและความผูกพันของคนเสื้อแดง พวกเราไปปลอบขวัญพวกเขาให้หายหวาดกลัว พวกเราไปบอกเขาให้มีศรัทธาต่อประชาธิปไตย พวกเราเดินทางบอกเขาว่าอย่าสิ้นหวังกับการเรียกร้องสิ่งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคน การต้อนรับและมิตรภาพที่พวกเราได้รับในแต่ละจังหวัดเป็นการสร้างรอยยิ้มและความหวังให้กับคนเสื้อแดงว่าจะกลับมาต่อสู้ร่วมกันอีกครั้ง ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนเสื้อแดงในต่างประเทศ

นับจากนั้นเป็นต้นมา มีกิจกรรมอีกมากมายหลากหลายที่คนเสื้อแดงได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา การทำกิจกรรมเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณให้สังคมเห็นถึงความเคลื่อนไหวและเจตจำนงที่ไม่ยอมแพ้ พวกเขาได้เป็นหัวขบวนในการรณรงค์การเลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่พวกเขาได้รับขณะนี้คือความรู้สึกภาคภูมิใจจากชัยชนะ ชัยชนะที่ไม่ได้เป็นของคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่หมายถึงชัยชนะของอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มีต่อเผด็จการอำมาตย์ที่กดขี่คนไทยในรูปแบบเทวดาใส่ชฎามานานแสนนาน

คุณได้ตั้งคำถามว่าแล้วคนเสื้อแดงจะจดจำเรื่องขมขื่นเหล่านี้อีกนานไหม ธรรมชาติของคนไทยเป็นคนที่รักและให้อภัยกันเนื่องจากคนไทยนับถือศาสนาพุทธซึ่งเป็นศานาที่สอนให้คนมีเมตตาและให้อภัยต่อกัน แต่กรณีนี้ผมมีความมั่นใจที่จะตอบแทนพวกเขาได้ว่าตราบใดก็ตามที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชนยังไม่ถูกดำเนินคดีคนเสื้อแดงจะไม่มีวันหยุด พวกเขาจะเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิตรวมถึงญาติพี่น้องของเขา และหากรัฐบาลที่เขาเลือกมาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขา ผมเชื่อว่าคนเสื้อแดงจะหาทางทวงความยุติธรรมให้กับเพื่อนของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง .. พวกเขาจะหยุดก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับความยุติธรรมแล้วเท่านั้น จริงอยู่ที่ขณะนี้รัฐบาลได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับคอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้่นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) แต่ผมไม่คิดว่าลำพังการเยียวยาด้วยเงินเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียเหล่านั้นได้

สำหรับกิจกรรมเส้นทางสีแดงเพื่อสันติภาพที่จะเดินทางไปกัมพูชาเป็นประเทศแรกในอาเซียนนั้น เนื่องจากกัมพูชาและไทยเป็นประเทศที่ไกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กันมากที่สุด และความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้ได้ร้าวฉานอย่างหนักนับจากรัฐบาลเผด็จการได้ก้าวมาบริหารประเทศ ก่อนหน้าที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศไฟสงครามได้ถูกจุดขึ้นโดยกลุ่มคนเสื้อเหลืองคลั่งชาติที่นิยมสงครามจากประเด็นข้อพิพาทชายแดนและเขาพระวิหาร กิจกรรมเส้นทางสีแดงเพื่อสันติภาพจะเดินทางเข้าไปยังเขาพระวิหารซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นข้อพิพาท พวกเราจะเดินทางขึ้นไปพร้อมกับธงชาติไทยและจะข้ามชายแดนไปฝั่งกัมพูชาจากเขาพระวิหาร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางเข้้าประเทศโดยเปิดเผยและแบบฉันมิตร จากนั้นพวกเราจะปั่นจักรยานผ่านจังหวัดสำคัญๆ เช่น เสียมเรียบ ศรีโสภณ พระตะบอง โพธิสัตว์ กัมปงจาม และกรุงพนมเปญในที่สุด ตลอดเส้นทางที่พวกเราจะเดินทางผ่าน พวกเราจะแวะทำกิจกรรมตามจุดที่กำหนด โดยเฉพาะการไปเยี่ยมทุ่งสังหาร (Killing Field) และพิพิธภัณฑ์ตวลชเลง (Genocide Museum) ซึ่งพวกเราจะเผยแพร่กิจกรรมนี้กลับเข้ามาประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตือนสติคนในสังคมไทยว่าหากยังไม่ยุติความขัดแย้งในอีกไม่ช้าลูกหลานของเราจะรับมรดกความเกลียดชังและลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเองเช่นที่เคยเกิดขึ้นในกัมพูช

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

คนเสื้อแดงแบ่งได้กี่กลุ่ม? (Red Shirt Classifications) :

คนเสื้อแดงแบ่งได้กี่กลุ่ม? (Red Shirt Classifications) :
สำหรับคนที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงอาจสับสนว่าคนเสื้อแดงมีกี่กลุ่มกันแน่ อะไรคือความเหมือนและอะไรคือความแตกต่าง ผมมีเพื่อนเสื้อเหลืองซึ่งมาขอคำแนะนำและขอให้ผมโพสเป็นกระทู้สำหรับผู้สนใจ จากข้อมูลในการทำกิจกรรมและอยู่ในวงการเสื้อแดงมาหลายปี ผมคิดว่าคนเสื้อแดงสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มที่ 1. "กลุ่ม นปช"ได้แก่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. (United Front of Democracy Against Dictatorship : UDD) 
กลุ่มนี้เป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากคุณทักษิณเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เป้าหมายหลักคือการต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการซ่อนรูป มวลชนส่วนใหญ่เป็นคนชนชท ชาวไร่ชาวนา เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน หรือที่เรียกว่าชาวบ้านรากหญ้า (Grassroots) กลุ่มนี้มีจำนวนหลายล้านคนทั้งในและต่างประเทศ
กลุ่มที่2 "แดงก้าวหน้า" ได้แก่กลุ่มที่ต้องการประชาธิปไตยเต็มรูป
เช่นเดียวกับประเทศอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน
และอีกหลายประเทศที่ประชาธิปไตยพัฒนาจนไปถึงมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ นักเคลื่อนไหวที่เป็นที่รู้จักของกลุ่มนี้เช่น คุณจักรภาพ เพ็ญแข อ.ใจ อึ้งภากรณ์ อ.สุรชัย แซ่ด่าน เป็นต้น เรียกกลุ่มนี้ว่า "แดงก้าวหน้า"
กลุ่มที่3. กลุ่ม "แดงรักษ์สถาบัน"ได้แก่กลุ่มที่ต้องการเห็นประเทศไทยมีประชาธิปไตยภายใต้ระบอบกษัตริย์
นื่องจากเห็นว่ารากฐานสังคมไทยเหมาะสมกับการปกครองรูปแบบนี้ แต่มีเงื่อนไขว่ากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์จะต้งดำรงตนต้องอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ไม่ยุ่งเกี่ยวแทรกแทรงการบริหารแผ่นดินโดยเปิดเผยหรือผ่านตัวแทนเพื่อป้องกันมิให้ข้าราชบริพารแอบอ้างหาประโยชน์ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ที่สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในประเทศ
กลุ่มที่ 4ได้แก่กลุ่มนักกิจกรรม ซึ่งเคลื่อนไหวอิสระไม่ผูกพันกับกลุ่มใด กลุ่มนี้เคลื่อนไหวเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับมวลชนให้กล้าแสดงออกและพัฒนาศักยภาพของมวลชน เช่น 
  • กลุ่มกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ของบก.ลายจุด (กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง) 
  • กลุ่มกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรม (กลุ่มเส้นทางสีแดง) เป็นต้น

กลุ่มที่ 5 ได้แก่กลุ่มนักวิการที่สนับสนุนประชาธิปไตยเผยแพร่ความรู้ด้านวิชาการโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงกับพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ใด เช่น กลุ่มนิติราษฏร์ อ.ตุ้ม อ.หวาน อ.สมศักดิ์ เป็นต้น

หวังว่ากระทู้นี้จะทำให้คนเสื้อเหลืองหรือผู้ที่ไม่มีสีเสื้อได้เข้าใจคนเสื้อแดงมากขึ้นว่าคนเสื้อแดงมีหลากหลายประเภท และการกระทำของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดก็มิได้ผูกพันกับกลุ่มอื่นเสมอไป สิ่งที่เหมือนกันของแดงทุกกลุ่มค้อต้องการเห็นสังคมที่เป็นประชาธิปไตย มีความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ผู้คนมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและพูดความจริงโดยเสมอกัน

เขียนโดย: 
ฟอร์ด เส้นทางสีแดง

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

แจ้งความองค์กรอิสระที่ร่วมกันล้มการเลือกตั้ง 2 กพ.

(จดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชน และคนเสื้อแดงทั่วประเทศ)
ถึง คนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยทุกท่าน
ตามที่องค์กรอิสระทั้ง 3 ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกันล้มการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ภาษีของประชาชนกว่า 3,800 ล้านที่ต้องเสียไปในการเลือกตั้งโดยเปล่าประโยชน์
ผมใคร่ขอเชิญชวนให้ประชาชนที่รักประชาธิปไตยได้ลุกขึ้นมาแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับองค์กรอิสระเหล่านี้ในฐานะเจ้าของประเทศตัวจริง โดยการนำแบบฟอร์มด้านล่างนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับองค์กรอิสระได้ที่โรงพักทั่วประเทศ
รักและยึดมั่นในอุดมการณ์
ฟอร์ด เส้นทางสีแดง
28/3/2557
**********************************
(แบบฟอร์มแจ้งความดำเนินคดีกับองค์กรอิสระ)
ข้าพเจ้านาย xx อายุ xx ปี เกิดเมื่อวันที่ xx ที่อยู่ตามบัตรประชาชน xx โทร xx มีความประสงค์จะขอแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการเลือกตั้ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 จากความผิดกรณีร่วมกันทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ อันสืบเนื่องจากเหตุชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มกปปส.ที่จัดชุมนุมปิดสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร และถึงกับปิดกรุงเทพในวันที่ 13 มกราคม 2557 จนนำไปสู่การปิดล้อมสถานที่รับเลือกตั้งและขัดขวางการเลือกตั้งทั้งวันเลือกตั้งล่วงหน้า 26 มกราคม 2557 และ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในเขตกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในภาคใต้ ทำให้กกต.ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งเสร็จสิ้นรวมทั้งหมด 28 เขต (อ้างอิง 1 )
ต่อมาในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 นายกิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินทั้ง 3 คน ได้แก่นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพานิช และศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องของ นายกิตติพงศ์ และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. 2557 ที่ผ่านมา เป็นโมฆะหรือไม่ (อ้างอิง 2 และ 3)
ต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้สืบพยานผู้ร้อง (ผู้ตรวจการแผ่นดิน) และผู้ถูกร้อง (รัฐบาลและกกต.) ซึ่งนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ในฐานะรักษาการณ์รองนายกรัฐมนตรีได้เบิกความสรุปว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจยื่นคำร้องและศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องนี้เนื่องจากเป็นอำนาจของศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และนายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เบิกความสรุปว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเนื่องจากกกต.ยังไม่ได้ออกระเบียบที่ขัดกับศาลรัฐธรรมนูญและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน (อ้างอิง 4)
ต่อมาในวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ โดยมิได้วินิจฉัยว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ ซึ่งต่อมาคณะสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยได้แถลงข่าวคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเผยแพร่ทางสังคมออนไลน์ให้ประชาชนผู้สนใจได้ศึกษา (อ้างอิง 5 และ 6 )
ข้าพเจ้าเป็นประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศและเสียภาษีถูกต้องตามกฏหมายและได้ร่วมกับคนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผู้หนึ่งที่ได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมาพันธ์ 2557 เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดจากความบกพร่องในหน้าที่ของกกต.และการปฏิบัติหน้าที่โยดมิชอบของผู้ตรวจการแผ่นดินส่งผลเสียหายต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งกว่า 3,200 ล้านบาทโดยไม่มีผู้ใดรับผิดชอบ จึงมีความประสงค์ที่แจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน (นายจรัล ภักดีธนากุลและพวก) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (นายศุภชัย สมเจริญและพวก) ผู้ตรวจการแผ่นดิน (นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศและพวก) ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ด้วยเหตุผลดังนี้
1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ยังมิได้เสร็จสิ้นอีก 28 เขตในกรุงเทพและภาคใต้นั้น ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบกับเวปไซด์มีชัยไทยแลนด์ ฃึ่งได้ตอบคำถามประชาชนเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นในวันเดียวกันแล้วเสร็จจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร คำตอบนี้ตอบโดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้ให้ความเห็นว่า “หากมีเหตุทำให้เลือกตั้งไม่ได้ เช่น เกิดเหตุจราจล เหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอย่างอื่น กฎหมาย (มาตรา 78) ให้อำนาจกกต.ที่จะกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้โดยไม่มีข้อกำหนดว่าจะเลื่อนไปถึงเมื่อไหร่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพระราชกฤษฏีกาที่กำหนดไว้ ขึ้นอยู่กับว่าเหตุนั้นอยู่นานเท่าไหร่ และสามารถจัดการเลือกตั้งได้เมื่อใดฯลฯ” (อ้างอิง 7 ) นอกจากนี้ในระหว่างที่มีการขัดขวางการเลือกตั้งของกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.นั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งกลับเพิกเฉยมิได้ขอความร่วมมือไปยังตำรวจหรือทหารให้เข้ามาช่วยดูแลการเลือกตั้งที่ที่มีอำนาจกระทำได้ กลับปล่อยให้ผู้ชุมนุมขัดขวางการรับสมัครเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า และขัดขวางการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ถึง 28 เขต
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ากกต.มีอำนาจที่จะกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เพื่อให้การเลือกตั้งตามพระราชกฤษฏีกาเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 สำเร็จลุล่วงได้ แต่กลับละเลยมิได้จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ แต่โยนภาระการเลื่อนวันเลื่อนตั้งใหม่ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล
2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน การที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะนั้น ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบพบว่าได้มีผู้ยื่นคำร้องดังกล่าว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 31 มกราคม 2557 นายวิรัตน์ กัลป์ยาศิริ สส.พรคคประชาธิปัตย์ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า “การร้องเรียนดังกล่าวเป็นอำนาจตามกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิใช่ร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 244 (1) (ก) เพราะกกต.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ ตามมาตรา 244 จึงไม่อยู่ในอำนาจของผู้ตรวจการฯ ดังนั้นไม่อาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน สามารถส่งเรื่องให้ศาลปกครองได้เท่านั้น ” (อ้างอิง 8 ) ถัดจากนั้นอีกเพียง 18 วันคือวันที่ 18 กุมภาพํนธ์ 2557 ก็มีนายกิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้ยื่นคำร้องในลักษณะเดียวกันนี้กับผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คนประกอบด้วยนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศจ.ศรีราชา เจริญพานิช และศจ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติให้ส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กพ. โมฆะ(อ้างอิง 9)
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ยกคำร้องของสส.ประชาธิปัตย์ในวันที่ 31 มกราคคม 2557 แต่กลับรับคำร้องของอาจารย์ธรรมศาสตร์วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ชวนให้สงสัยว่ามีเหตุจูงใจที่เกี่ยวข้องกับรับผลประโยชน์ในการรับคำร้องและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ
3. ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้าที่จะมีคำวินิจฉัยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐบาล และกกต.เข้าเบิกความในวันที่ 19 มีนาคม 2557 โดยนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รักษาการณ์รองนายกรัฐมนตรี และนายศุภชัย สมเจริญได้เบิกความสรุปว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจรับคำร้องและคดีนี้เป็นหน้าที่ของศาลฏีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับคำแถลงของคณาจารย์จากสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยซึ่งเปิดแถลงข่าววิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 23 มีนาคม 2557
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยที่ไม่มีอำนาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขยายขอบเขตอำนาจก้าวก่ายอำนาจศาลยุติธรรม และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็กระทำโดยมิได้พิจารณาจากความเป็นจริงและขัดแย้งกับความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธ์ซึ่งเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดอำนาจของตัวศาลรัฐธรรมนูญเอง
ด้วยเหตุดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการกระทำขององค์กรอิสระทั้งสาม ได้แก่ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานละเว้นหรือปบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงขอแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวให้ถึงที่สุด
Unlike ·  · 

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

เปรมและทักษิณ กับวาทะ "ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"



คำว่าเกิดเป็นคนต้องตอบแทนคุณแผ่นดินเป็นคำที่พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ใช้หลายปีต่างกรรมต่างวาระเพื่อทำให้สังคมเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดอธิบายได้ว่าทำเพื่อการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเป็นแรงจูงใจสำคัญ ผมคิดว่าคำพูดนี้เป็นคำพุดที่ลึกซึ้งและอธิบายเป็นรูปธรรมจับต้องได้ยาก แต่คำถามคือการกระทำเยี่ยงไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินที่แท้จริง ?

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตอบแทนคุณประเทศนี้ด้วยการอาสามาเป็นนักการเมืองก่อตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติในยามที่ชาติไกล้ล้มละลายจากวิกฤตฟองสบู่ที่พรรคประชาธิปัตย์และนายทุนละโมบของเขาสร้างไว้จากการเปิดเสรีทางการเงินสมัยรัฐบาลชวนมีนายธารินทร์เป็นรมว.คลัง ในขณะนั้นประเทศไทยไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้แต่นายกทักษินทำได้และสมามารถใช้หนี้คืน IMF ก่อนกำหนด แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาใดๆย่อมทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบและมีผู้ได้รับประโยชน์ นายกทักษิณได้ทำการปราบปรามยาเสพติดแทบไม่เหลือทรากเพื่อประกาศเป็นการทำสงครามยาเสพติดเพื่อในหลวง แน่นอนว่าการกระทำนี้ก็ทำให้เครือข่ายค้ายาเสพติดสูญเสียประโยชน์มหาศาล

นายกทักษิณทำให้สังคมไทยที่ถูกมอมเมาด้วยการพนันมาช้านานประชาชนหูตาสว่างด้วยการยกเลิกหวยใต้ดินและทำให้เป็นสิ่งผิดกฏหมาย รายได้นำเข้ารัฐและส่งให้เด็กไทยที่ยากจนได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ แต่นโยบายนี้ก็ไปกระทบกับรายได้มหาศาลของหวยใต้ดินที่ส่งต่อกันทอดๆจากมือเจ้ามือชาวบ้านจนถึงนักการเมืองที่ให้การคุ้มครองธุรกิจผิดกฏหมาย นายกทักษิณทำให้ชาวบ้านคนยากจน (ซึ่งรวมถึงผมด้วยที่อยากจะเป็นคนจน) ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้คนไทยจำนวนมากมีสุขภาพแข็งแรงมีชีวิตยืนยาวขึ้น (กรุณาดูกระทู้การเยี่ยมผู้ป่วย HIVS ที่วัดพระบาทน้ำพุที่รอดตายเพราะโครงการนี้)

นายกทักษินให้โอกาสนักธุรกิจที่ประสพปัญหาจากฟองสบู่แตกผ่านการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ให้ได้มีโอกาสปรับโครงสร้างหนี้พลิกฟื้นธุรกิจกลับมาอีกครั้ง นายกทักษิณให้โอกาสชาวบ้านคนยากจนได้ลืมตาอ้าปากผ่านนโยบายพักชำระหนี้ ให้คนจนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ ได้ทำให้ชุมชนทั่วประเทศได้มีงานทำผ่านนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ทำให้สินค้าไทยจากชุมชนชนบททั่วประเทศได้ส่งออกนำเงินตราเข้าประเทศ ส่งเสริมการจ้างงาน ลดปัญหาอาชญากรรม

นายกทักษินทำให้เด็กๆและเยาวชนไทยเที่ยวเตร่น้อยลงด้วยนโยบายจัดระเบียบสังคม เข้มงวดกับการเปิดสถานบริการยันเช้า ทำให้เด็กไทยตื่นจากความมอมเมา ลดปัญหาเด็กเรียนไม่จบ ท้องก่อนแต่ง โรคเพศสัมพันธ์ ฯลฯ ที่ผมพูดมานี้เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของนโยบายประชานิยมในสมัยพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้ทำการปฏิรูปประเทศที่แท้จริงมากกว่าคำโกหกของสุเทพที่คิดเป็นม็อตโต้ในการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สำหรับผมนี่คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินที่แท้จริง

ในทางกลับกัน การตอบแทนคุณแผ่นดินของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ด้วยการอยู่เบื้องหลังรัฐประหารเป็นเหตุให้สังคมไทยแตกแยกไม่จบสิ้นจนทุกวันนี้ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเพราะเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองหลายพันคนแล้วและไม่มีท่าทีจะหยุด พลเอกเปรมยังอยู่เบื้องหลังการขัดขวางพระบรมโอรสาธิราชในการขึ้นครองราชย์ตามกฏมณเฑียรบาลทั้งที่พระบรมเป็นรัชทายาทตามกฏหมาย ฯลฯ

สำหรับผมพลเอกเปรมควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบด้วยการไปบวชทดแทนคุณให้ประชาชนที่เสียชีวิตในการกระทำของเขาและตายในผ้าเหลืองจึงจะสาสมและไถท่โทษกับสิ่งที่เขาได้ทำไว้กับประเทศชาติ !

(บทความส่วนตัว ฟอร์ด เส้นทางสีแดง 1 มีค. 2557)


วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

อุดมการณ์ของคนเสื้อแดง โปรเจคใหญ่ประจำปี 2557

เป็นเวลากว่า 4 ปีที่ผมพากิจกรรมเส้นทางสีแดงตระเวณไป 6 ประเทศในเอเซียเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยและอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง โปรเจคใหญ่ประจำปี 2557 คือการไปเยี่ยมเยียนพี่น้องภาคตะวันออก อีสาน กัมพูชา ลาว เวียดนาม และจีน (คุนหมิง) 5 ประเทศ ระยะทางไม่ต่ำว่า 4,500 กม.

It's been 4 years for me to lead Red Path Project to support Democracy in Thailand and Red Shirt's ideology. The 2014 project is to visit 5 countries in Asia including Thailand (East and North-East), Cambodia, Lao, Vietnam and China for the distance not less than 4,500 kms.

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ยกเลิก กิจกรรมแรลลี่ วันที่ 12 มกราคม 2556


10.05 น.( 12.01.14)  รวมพลแล้ว หน้าเวิลด์เทรด

************************************************************************

เส้นทางสีแดงและเครือข่ายผู้รักประชาธิปไตยรณรงค์ยุติความรุนแรงอย่างสันติ ภาพจากไทยรัฐฉบับพรุ่งนี้ เย็นนี้ร่วมจุดเทียนที่ธรรมศาสตร์



เพื่อให้กิจกรรมแรลลี่พรุ่งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ผมจึงกำหนดเส้นทางแรลลี่มิให้เข้าไกล้การชุมนุมของกลุ่มกปปส.เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง และตำรวจนครบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมดูแลความปลอดภัยทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก ขอขอบคุณมาณ.ที่นี้


สำหรับท่านที่ต้องการเสื้อ Respect My Vote กรุณาโอนเงินมาธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ 402-426503-4 อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ตัวละ 200 บาท ค่าส่ง 50 บาท ส่งหลักฐานการโอนเงินและแจ้งชื่อที่อยู่หลังไมค์ ผมจะส่งด่วนให้วันต่อวัน แกนนำจังหวัดใดต้องการทำเพื่อใช้ทำกิจกรรมสามารถนำโลโก้นี้ให้กับร้านสกรีนเสื้อทำได้เลย




กลุ่มเส้นทางสีแดงขอเชิญคนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยร่วมกิจกรรมแรลลี่ต้านกบฏและรณรงค์เลือกตั้ง โดยนำรถมอเตอร์ไซด์ รถฮาเลย์ รถกระบะ รถเครื่องเสียง รถส่วนตัวทุกชนิดประดับธงแดงและธงชาติ ในวันอาทิตย์ 12 มค. กำหนดการ 9.00 น. รวมพลหน้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 12.00 น. เคลื่อนขบวนแรลลี่ทั่วกรุงเทพ (สอบถาม 081-5836964)



วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

เส้นทางสีแดง รณรงค์เลือกตั้ง วันอาทิตย์ที่ 12 มค. 57

กลุ่มเส้นทางสีแดงขอเชิญคนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยร่วมกิจกรรมแรลลี่ประจำปี 2557 เพื่อต้านกบฏและรณรงค์เลือกตั้ง ขอให้นำรถมอเตอร์ไซด์ รถฮาเลย์ รถกระบะ รถเครื่องเสียง รถส่วนตัวทุกชนิดประดับธงแดงและธงชาติ ในวันอาทิตย์ 12 มค. กำหนดการ 10.00 น. รวมพลหน้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 12.00 น. เคลื่อนขบวนแรลลี่ทั่วกรุงเทพ !
กบฎสุเทพปรับแผนปิดกรุงเทพเป็นจันทร์ 13 มค. ในขณะที่เส้นทางสีแดงจะแรลลี่รณรงค์เลือกตั้งอาทิตย์ 12 มค. งานนี้ต้องมีใครอยู่ใครไปกันไปข้างละวะ !

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์การเมือง โดย นิรนาม


Credit ภาพ: Junkle Man
สถานณ์การแนวที่จะเกิด....ผลแห่งการที่กลุ่มกบฎประกาศยึด กทม.และการบอยคอต กลต.ด้านกบฎรับงานใหญ่โดยมีงบที่อยู่ได้ทั้งปี โดยมีทุน 2หมื่นกว่าล้าน แต่ต้องรีบปิดเกมส์สร้างสภาวะรัฐล้มเหลวก่อนเลือกตั้งเราจะไม่ได้เลือกตั้งเป็นที่แน่นอน แต่กบฎไม่สามารถล้มรัฐบาลได้หากแต่จะทำการก่อให้เกิดเหตุจราจลการสร้างสถานการณ์ โดยมีทหารนอกแถวเข้ามาแฝงร่วมเป็นการ์ดอยู่นานแล้วประมาณ 5,000 คน มีกระบวนขนทหารและขนมเข้ามาเรื่อยๆซึ่งการนี้จะสอดคล้องกับแนวการนำทหารเข้ามาสวนสนามที่ผิดปรกติและเปิดเกมส์ด้วย องค์กรอิสระต่อมาคือตาชั่งเมื่อฟันแล้วจะเกิดการต่อต้านจนนำพาสู่การต่อสู้ของฝ่ายประชาชนแต่ก่อนจะถึงจุดนั้นจะมี 2 ทางแยก คือ

1.รัฐบาลยอมรับคำตัดสินแล้วถอยยุติบทบาท
2. รัฐบาลตั้งธงสู้สร้างแนวร่วมต่างประเทศเปิดกรอบรัฐบาลพลัดถิ่น

หากรัฐสู้แล้วแพ้แถว 2 จะเป็น นปช.แถว 3 จะเป็น ปชช.


ดังนั้นเวลานี้ไม่ใช่ภาวะการเลือกตั้งแต่เป็นภาวะสงคราม


เป้าหมายเจ้าของกบฎไม่ใช่การเมืองแต่ใหญ่กว่านั้นมาก ถ้าฝ่ายแดงชนะอามาตย์ก็โดนแน่ จากผู้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่แต่ ถ้าล้ม ปชตได้ เสื้อแดงจะถูกกวาดล้างอย่างหนักเช่นกัน...


จับตาแผน ลับลวงพราง ของสีเขียวจะฉวยโอกาสกลุ่มที่น่ากลัวไม่ใช่ทหารแก่แต่จะเป็นยังเตริ์กประมาณรุ่น 20 กว่ามีกองผสมจาก ผกค.สายตาโปนและอีกหลายกลุ่ม สิ่งที่สำคัญเวลานี้ รัฐบาลจะสู้หรือไม่ หากสู้จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นควรตั้งในประเทศ แต่ถ้าหนีไปตั้งต่างประเทศเสื้อแดงจะระส่ำมาก และโอกาสชนะจะน้อยลงเพราะถ้าฝ่ายอามาตย์ตั้งรัฐได้ต่างชาติ ก็จะแห่ไปร่วมเพราะผลประโยชน์โดยเฉพาะจีนที่หวังจะได้รถไฟและปิโตรแทนที่เมกา โดยมีเจ้าของม็อบเห็นดีด้วย..... 


ระวังการข่าวลวงเบี่ยงประเด็นเบนความสนใจของจริงอยู่ที่สีเขียวและตาชั่ง สุเทพเป็นเพียงลิเกหน้าม่าน ขอบอกว่าหากเกิดเหตุการณ์บานปลายอย่ารุกแบบไร้รูปแบบจะเข้าทางมันและจะตกอยู่กลางวงล้อมสิ่งที่ควรทำคือการวางแผนรับมือตั้งฐานตามภูมิภาคต่างๆการรณรงค์ ลต.ก็ทำไปเพื่อให้ฝ่ายคนกลางรับรู้ว่าฝ่ายใดที่ดีหรือเลว 



  • สิ่งที่เรามีคือตำรวจและทหาร ปชต.
  • กองทัพมี 2 ฝ่าย


สุดท้ายสงครามที่เลี่ยงไม่ได้.... จะเกิดในแผ่นดินนี้.. ศึกใหญ่ของฝ่ายประชาธิปไตยกำลังจะมาถึง....



อ.จุฬาฯ นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็น วันศุกร์ที่ 10 มกราคม


.จุฬาฯ นัดรวมตัวเสียงส่วนน้อย 10 ..นี้ ค้านม็อบ-หนุนเลือกตั้ง อ.จุฬาฯ ผู้เปิดโปงเรื่องจีที 200 นัดรวมตัวเสียงส่วนน้อย 10 มกราคมนี้ ที่หอศิลป์ เพื่อค้านม็อบชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรง และหนุนการเลือกตั้ง 

วันนี้ (4 มกราคม 2557) นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เปิดโปงเรื่องจีที 200 ได้โพสต์ข้อความบน เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant เชิญชวนชาวจุฬาฯ ให้มาร่วมแสดงพลังสนับสนุนการเลือกตั้งและหยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขความรุนแรง ดังนี้.. 

เอากำหนดการคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ขอเชิญชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) รักสันติ-สนับสนุนการเลือกตั้ง นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็น วันศุกร์ที่ 10 มกราคม ก่อนที่จะเดินไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ที่ลานหอศิลป์ กทม. ข้างมาบุญครอง 

นัดกันใส่เสื้อชมพู มีไฟฉายหรือโคมตะเกียงไฟฟ้าไปด้วย (ถ้าใช้เทียน ต้องมีกระดาษรอง) ทำป้ายผ้าป้ายกระดาษได้ตามความเหมาะสมที่ใช้ภาษาสุภาพ และไม่ยั่วยุฝ่ายใดครับ ปล. ใครว่างก็มาเจอกันครับ จะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าใส่สีมหาลัยหรือหน่วยงานของตัวเองก็ดีครับ" ส่วนทางด้าน นายกิตติชัย งามชัยพิสิษฐ์ ผู้สร้างแฟนเพจ "พอกันที หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ระบุว่า

 กิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพจัดขึ้นเพื่อ 
1. เปิดพื้นที่ให้คนได้แสดงความเห็น อาทิ ญาติของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมที่ผ่านมา 
2. ให้หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ไม่ได้แปลว่าไม่ให้หยุดชุมนุม ชุมนุมได้ แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขนี้ 

นายกิตติชัย แสดงความเห็นว่า การชุมนุมของ กปปส. มองได้ว่าจะนำไปสู่ความรุนแรง 2 ระดับ คือ เรื่องข้อเสนออย่างการเลื่อนเลือกตั้ง ก็จะนำไปสู่การที่คนอีกกลุ่มไม่พอใจและต้องออกมาอีก ส่วนอีกเรื่องคือทางกายภาพ เพราะมีวาจาที่นำไปสู่ความเกลียดชัง การบุกสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งรัฐต้องทำหน้าที่ ซึ่งหากชุมนุมแบบสงบก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่การไปบุกสถานที่เลือกตั้งนั้น ละเมิดสิทธิคนทั้งประเทศอย่างแน่นอน 

ท้ายนี้ นายกิตติชัย กล่าวอีกว่า ในวันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ จะมีการจัดกิจกรรมขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ที่เดิมคือ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เวลา 18.00-21.00 . มีกิจกรรมจุดเทียน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ปราศรัยคนละไม่เกิน 5 นาที


วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

เพื่อไทย คิกออฟ เปิดเวทีปราศรัย เมืองทองคนพรึบ!

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 4 มกราคม ที่ลานข้างสนามกีฬาเอสซีจี เมืองทองธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดการปราศรัยใหญ่ ภายใต้ชื่อ "2 กุมภา เข้าคูหา รักษาประชาธิปไตย" โดยมี ส.ส.พท. และแกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นายภูมิธรรม เวชยชัย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวรชัย เหมะ นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล นายฉลอง เรี่ยวแรง นายดนุพร ปุณณกันต์ มล.ณัฎฐพล เทวกุล ร่วมเวที สำหรับบรรยากาศโดยรอบเวทีปราศรัยมีประชาชนจำนวนมากร่วมฟังการปราศรัย นอกจากนี้ บริเวณทางเข้าออกโดยรอบมีเจ้าหน้าที่ตำรวจศปก.ภ.1 สน.เมืองทองธานี จำนวน 2 กองร้อยดูแลรักษาความปลอดภัย 

เวลา 17.30 น. นายณัฐวุฒิ ปราศรัยว่า ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็จะต้องรักษาหลักนิติรัฐนิติธรรม เพราะทุกคนต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันหลักนิติธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ามีความเชื่อว่า คนกรุงเทพฯ มีสิทธิมากกว่าคนต่างจังหวัดถือเป็นวิธีคิดที่ริดรอนเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ถือเป็นการประกาศว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีและเป็นเจ้าของประเทศเท่ากัน รวมถึงปฏิเสธอำนาจนอกระบบด้วย ส่วนจะมีการปฏิวัติหรือไม่นั้น ไม่อาจบอกได้แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงก็พร้อมที่จะต่อสู้ตั้งแต่วินาทีแรก ทั้งนี้แม้ไม่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรีก็ไม่สำคัญ แต่ประเทศจะต้องเดินหน้า มีการเลือกตั้ง และเป็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์เท่านั้น และขอให้ผู้ที่เห็นด้วยทุกเสียง ทุกพรรค มาพร้อมกันในเวลา 09.00 น. ในจุดนัดหมายของทุกจังหวัดเพื่อแสดงจุดยืน และเพื่อให้นโยบายต่างๆได้เดินหน้า พร้อมปกป้องประชาธิปไตย ขอให้เข้าคูหาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เลือกพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตามภายหลังจากการปราศรัยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะเดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อปราศรัยต่อไป

ต่อมาเวลา 18.20 น. นายจารุพงศ์ ปราศรัยว่าโจมตีนายสุเทพและยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์แน่นอน

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะเข้าใจมันอย่างไรสังคมจึงจะยอมรับจุดร่วมกันได้?




กราบเรียนผู้มีอำนาจ........
โลกนี้การเมืองการปกครองมันเปลี่ยนแปลงไปไกลมากแล้ว โลกมันหมุนไปไม่มีวันหยุด ความคิดของผู้คนก็พัฒนาเรียนรู้ทันมากขึ้นเป็นลำดับ...

ใครเป็นใครก็เห็นหน้าเห็นใจกันหมดแล้ว หากจะเข้ามาอยู่ในระบบสากลจะมีตัวแทนของแต่ละฝ่ายลงนามในระบบสากล มันก็ไม่น่าจะผิดกติกาที่ยอมกันได้ตรงไหน

เพียงแต่ผู้ที่อยู่สูงแล้วก็คงสถานะได้ แต่ต้องยอมให้ผู้ที่อยู่ต่ำ เขาได้สร้างฐานตัวเองขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คิดหวาดกลัวว่าคนอื่นอื่น เขาจะขึ้นมาเทียบชั้นตนเอง นั่นมันเป็นความคิดโบราณและจำกัดแต่เพียงในนิยายเท่านั้น


อย่าลืมว่า ทุกฝ่ายนั้น อาศัยซึ่งกันและกันมานานมากแล้ว ฝ่ายหนึ่งอาจจะเคยเป็นที่อาศัยในทางจิตใจ ฝ่ายหนึ่งก็อาศัยพละกำลังของอีกฝ่ายหนึ่งมาเช่นเดียวกัน ความเข้าใจกันต่างหากที่จะเป็นศูนย์รวมและจุดร่วมของใจซึ่งกันและกัน

ถ้าคิดกันอย่างนี้ได้ สังคมก็จะสงบและจะอาศัยอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ได้

ถามว่าทุกคนจะร่วมกันสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันได้หรือไม่?

ต้องถามใจแต่ละฝ่ายกันดูเท่านั้น


วารีนา ปุญญาวัณน์
2010

กลับหน้าหลัก