19. ไปเวียดนาม เมืองวินห์ (Vinh City)
เช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 พวกเราเดินทางออกจากรีสอร์ทเล็กๆบนภูเขาที่กั้นพรมแดนลาว-เวียดนาม มุ่งหน้าเมืองวินห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโฮจิมินห์ วีรบรุษผู้กอบกู้เวียดนามจากอเมริกา เมืองวินห์เป็นเมืองซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม ระยะทางกว่า 150 กม.
อากาศตอนเช้าเต็มไปด้วยหมอกหนา เส้นทางที่ปั่นจักรยานเป็นทางลาดลงเขาไม่ต่ำกว่า 20 กม.เพียงแต่ไม่ลาดชันเท่าเมื่อวาน สภาพถนนเป็นถนนลาดยางเล็กๆจากป่าเขาจนเข้าตัวเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในเวลาเกือบเที่ยง ป้ายบอกทางและสถานที่เกือบทั้งหมดเป็นภาษาเวียดนามซึ่งไม่มีพวกเราคนใดเข้าใจ การสื่อสารต้องใช้ภาษามือกับชาวเวียดนาม พวกเราแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ อาหารที่ทานเรียกว่า “เฝอ” (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ) คิดเป็นเงินไทยชามละ 50 บาท
จากนั้นตลอดช่วงบ่ายพวกเรามุ่งหน้าเมืองวินห์ตามป้ายบอกทาง เจอปัญหายางรั่ว 2 ครั้งซึ่งต้องแวะปั่นตามรายทาง อากาศที่เวียดนามหนาวเย็นกว่าที่ลาวมาก ในวันนั้นแทบไม่มีแสงแดดให้เห็น พวกเราถึงตัวเมืองวินห์ในเวลาเย็น และตรงดิ่งไปที่สวนสาธารณะกลางเมืองซึ่งเป็นจุดหมายหลักของเราในวันนี้
สวนสาธารณะแห่งนี้มีขนาดกว้างกว่าสนามหลวง มีชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เปิดเพลงภาษาเวียดนามฟังแล้วคล้ายๆกับทำนองเพลงจีน กลางสวนสาธารณะมีรูปปั้นของโฮจิมินห์ตั้งตระหง่าน พวกเราจอดรถจักรยานและรีบไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะจางหายไป ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพเดียวที่เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่ง เส้นทางสีแดงเคยมาไกลจากราชประสงค์ถึงเวียดนาม
ก่อนจะพลบค่ำ โชคดีที่ผู้การผดุงพบไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้ เขาอาสาพาไปโรงแรมกลางตัวเมือง ราคาห้องละ 25 ดอลลาร์ (ประมาณ 800 บาท) ไกด์คนนี้พาพวกเราไปทานอาหารเวียดนามแบบชาวบ้าน ราคาไม่แพงและแม่ค้าเป็นมิตรมาก ผมสังเกตว่าผู้หญิงเวียดนามสวยและผิวดีมาก ไกด์เล่าว่าผู้หญิงเวียดนามไม่นิยมถูกแสงแดด เวลาจะออกกลางแจ้งจะต้อใส่เสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันผิว
เขาเล่าให้ฟังถึงประวัติการต่อสู้ของชาวเวียดนามที่ล้มล้างจักรพรรดิบ๋าวได๋ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม เขาบอกว่าสำหรับชาวเวียดนาม ‘ประชาชน’ ย่อมเป็นใหญ่และมีความสำคัญกว่าศักดินาคนกลุ่มน้อย ก่อนจากการรอ.ปรีชาได้มอบเสื้อเส้นทางสีแดงให้เป็นที่ระลึก
พวกเราพักที่เวียดนามเพียง 1 คืน รุ่งเช้าออกจากเมืองวินห์โดยรถโดยสารสู่เมืองสะหวันเขตของสปป.ลาว เช้าวันนั้นมีรถมารับพวกเราถึงโรงแรม ฝนตกตลอดเช้า การรอรถค่อนข้างทุลักทุเลและเต็มไปด้วยความกังวลเนื่องจากความไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น พวกเราต้องเสียค่าระวางรถจักรยานคันละ 200 บาทนอกเหนือจากค่าโดยสาร นั่งรถโคลงเคลงปนกับชาวเวียดนามซึ่งมองนักปั่นเสื้อแดงจากเมืองไทยด้วยสายตาแปลกๆระคนสนใจ ถึงเมืองสะหวันเขตประมาณ 2 ทุ่ม
พวกเราต้องต่อรถโดยสารจากสะหวันนะเขตไปเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ติดชายแดนไทยทางฝั่งมุกดาหาร ถึงที่หมายในเวลาตี 1 กว่า พวกเรายังไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น น้ำดื่มแทบจะหมดเกลี้ยง ไม่มีร้านค้า ไม่มีร้านอาหาร ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนเมืองร้างยกเว้นแสงไฟที่ด่านเท่านั้น
พวกเราตกลงกางเตนท์นอนที่หน้าประตูด้านตามคำแนะนำของผู้การผดุง ก่อนที่จะนอนในเตนท์ผมสำรวจสิ่งที่พอจะทานได้ประทังความหิว มีขนมปังแบบฝรั่งเศสครึ่งแท่งที่แข็งขนาดเคาะหัวหมาได้ น้ำ 1/3 ของขวด ผมนั่งทานคนเดียวเงียบๆในเตนท์และคิดถึงการทำกิจกรรมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา
ใครจะคิดว่าคนที่จบปริญญาโท 2 ใบจากลอนดอนและฝรั่งเศส อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย เคยทำวิจัย มีธุรกิจส่วนตัว จะมาลำบากลำบนต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ ชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาลำบากจริงไหมครับ?
เช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 พวกเราเดินทางออกจากรีสอร์ทเล็กๆบนภูเขาที่กั้นพรมแดนลาว-เวียดนาม มุ่งหน้าเมืองวินห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโฮจิมินห์ วีรบรุษผู้กอบกู้เวียดนามจากอเมริกา เมืองวินห์เป็นเมืองซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม ระยะทางกว่า 150 กม.
อากาศตอนเช้าเต็มไปด้วยหมอกหนา เส้นทางที่ปั่นจักรยานเป็นทางลาดลงเขาไม่ต่ำกว่า 20 กม.เพียงแต่ไม่ลาดชันเท่าเมื่อวาน สภาพถนนเป็นถนนลาดยางเล็กๆจากป่าเขาจนเข้าตัวเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในเวลาเกือบเที่ยง ป้ายบอกทางและสถานที่เกือบทั้งหมดเป็นภาษาเวียดนามซึ่งไม่มีพวกเราคนใดเข้าใจ การสื่อสารต้องใช้ภาษามือกับชาวเวียดนาม พวกเราแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ อาหารที่ทานเรียกว่า “เฝอ” (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ) คิดเป็นเงินไทยชามละ 50 บาท
จากนั้นตลอดช่วงบ่ายพวกเรามุ่งหน้าเมืองวินห์ตามป้ายบอกทาง เจอปัญหายางรั่ว 2 ครั้งซึ่งต้องแวะปั่นตามรายทาง อากาศที่เวียดนามหนาวเย็นกว่าที่ลาวมาก ในวันนั้นแทบไม่มีแสงแดดให้เห็น พวกเราถึงตัวเมืองวินห์ในเวลาเย็น และตรงดิ่งไปที่สวนสาธารณะกลางเมืองซึ่งเป็นจุดหมายหลักของเราในวันนี้
สวนสาธารณะแห่งนี้มีขนาดกว้างกว่าสนามหลวง มีชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เปิดเพลงภาษาเวียดนามฟังแล้วคล้ายๆกับทำนองเพลงจีน กลางสวนสาธารณะมีรูปปั้นของโฮจิมินห์ตั้งตระหง่าน พวกเราจอดรถจักรยานและรีบไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะจางหายไป ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพเดียวที่เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่ง เส้นทางสีแดงเคยมาไกลจากราชประสงค์ถึงเวียดนาม
ก่อนจะพลบค่ำ โชคดีที่ผู้การผดุงพบไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้ เขาอาสาพาไปโรงแรมกลางตัวเมือง ราคาห้องละ 25 ดอลลาร์ (ประมาณ 800 บาท) ไกด์คนนี้พาพวกเราไปทานอาหารเวียดนามแบบชาวบ้าน ราคาไม่แพงและแม่ค้าเป็นมิตรมาก ผมสังเกตว่าผู้หญิงเวียดนามสวยและผิวดีมาก ไกด์เล่าว่าผู้หญิงเวียดนามไม่นิยมถูกแสงแดด เวลาจะออกกลางแจ้งจะต้อใส่เสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันผิว
เขาเล่าให้ฟังถึงประวัติการต่อสู้ของชาวเวียดนามที่ล้มล้างจักรพรรดิบ๋าวได๋ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม เขาบอกว่าสำหรับชาวเวียดนาม ‘ประชาชน’ ย่อมเป็นใหญ่และมีความสำคัญกว่าศักดินาคนกลุ่มน้อย ก่อนจากการรอ.ปรีชาได้มอบเสื้อเส้นทางสีแดงให้เป็นที่ระลึก
พวกเราพักที่เวียดนามเพียง 1 คืน รุ่งเช้าออกจากเมืองวินห์โดยรถโดยสารสู่เมืองสะหวันเขตของสปป.ลาว เช้าวันนั้นมีรถมารับพวกเราถึงโรงแรม ฝนตกตลอดเช้า การรอรถค่อนข้างทุลักทุเลและเต็มไปด้วยความกังวลเนื่องจากความไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น พวกเราต้องเสียค่าระวางรถจักรยานคันละ 200 บาทนอกเหนือจากค่าโดยสาร นั่งรถโคลงเคลงปนกับชาวเวียดนามซึ่งมองนักปั่นเสื้อแดงจากเมืองไทยด้วยสายตาแปลกๆระคนสนใจ ถึงเมืองสะหวันเขตประมาณ 2 ทุ่ม
พวกเราต้องต่อรถโดยสารจากสะหวันนะเขตไปเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ติดชายแดนไทยทางฝั่งมุกดาหาร ถึงที่หมายในเวลาตี 1 กว่า พวกเรายังไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น น้ำดื่มแทบจะหมดเกลี้ยง ไม่มีร้านค้า ไม่มีร้านอาหาร ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนเมืองร้างยกเว้นแสงไฟที่ด่านเท่านั้น
พวกเราตกลงกางเตนท์นอนที่หน้าประตูด้านตามคำแนะนำของผู้การผดุง ก่อนที่จะนอนในเตนท์ผมสำรวจสิ่งที่พอจะทานได้ประทังความหิว มีขนมปังแบบฝรั่งเศสครึ่งแท่งที่แข็งขนาดเคาะหัวหมาได้ น้ำ 1/3 ของขวด ผมนั่งทานคนเดียวเงียบๆในเตนท์และคิดถึงการทำกิจกรรมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา
ใครจะคิดว่าคนที่จบปริญญาโท 2 ใบจากลอนดอนและฝรั่งเศส อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย เคยทำวิจัย มีธุรกิจส่วนตัว จะมาลำบากลำบนต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ ชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาลำบากจริงไหมครับ?